ไม่ต้องถามสาวยาคูลท์ รวมเรื่องไม่ลับของ “ยาคูลท์” มาไว้ที่นี่แล้ว!!

นมเปรี้ยวพร้อมดื่มขวดเล็กๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่าง “ยาคูลท์” ที่พวกเราต้องเคยดื่มและคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี ทำไมถึงยังอยู่ในตลาดมาได้อย่างยาวนานรวมไปถึงรูปลักษณ์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่มีแบรนด์อื่นๆ สามารถหลอกเลียนแบบรสชาติได้ วิธีการขายก็แปลกแหวกแนว แถมยังมีเพียงขนาดเดียวมาตั้งแต่กำเนิดจนถึงปัจจุบัน เราไปทำความรู้จักกับยาคูลท์ให้มากขึ้น ในสิ่งที่สาวยาคูลท์ไม่เคยบอกเรา

1.ยาคูลท์ เป็นยาหรือไม่ ทำไม่ต้องมีคำว่า ยา?
ยาคูลท์ไม่ใช่ยา แต่เป็นนมเปรี้ยวสัญชาติญี่ปุ่น แต่ชื่อที่ตั้งไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่นอย่างที่เข้าใจ ทั้งที่ญี่ปุ่นนั้นขึ้นชื่อในเรื่องชาตินิยมเป็นอย่างมาก แต่คำว่า YAKULT เป็นภาษาประดิษฐ์ที่เรียกว่า Esperanto แผลงมาจากคำว่า “Jahurto” มีความหมายเดียวกับคำว่า “Yoghurt” ที่แปลว่า “มีอายุยืนยาว” ในภาษาอังกฤษ



2. ยาคูลท์ ทำมาจากอะไร
ยาคูลท์ ไม่ได้เป็นเพียงนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต แต่ยังเป็น “โพรไบโอติก (Probiotics)” ซึ่งทำมาจากจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์และยังมีชีวิตอยู่หลายพันล้านตัว ได้มาจากการหมักนมเข้ากับน้ำตาลกลูโคส มีส่วนประกอบคือจุลินทรีย์ชิโรต้า และจุลินทรีย์ที่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ในลำไส้ของเรา เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ

3.ส่วนประกอบสำคัญของยาคูลท์
ในยาคูลท์ 1 ขวด (80 cc.) ประกอบด้วย จุลินทรีย์ชิโรต้าที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 8 พันล้านตัว, นมคืนรูปขาดมันเนย 50%, น้ำตาล 18%, จุลินทรีย์กรดนม (แลคโตบาซิลลัส คาเซอิ สายพันธุ์ ชิโรต้า)

4.ยาคูลท์มีน้ำตาลสูงถึง 18%
เพราะแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ดีในน้ำตาล ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องผสมน้ำตาลในปริมาณสูง ควรดื่มวันละ 1 ขวดเท่านั้น นั่นเป็นปริมาณที่พอเหมาะ ดื่มมากเกินไปโรคอ้วนถามหาแน่นอน

5. สีของยาคูลท์เป็นการสังเคราะห์หรือไม่
เป็นสีธรรมชาติ ปลอดสีเจือปน

6.กินยาคูลท์อ้วนหรือไม่
ยาคูลท์ 1 ขวด เท่ากับ น้ำตาล 3.5 ช้อนชา ให้พลังงาน 71 kcal ถ้าดื่มวันละมากกว่า 1 ขวด อ้วนแน่นอน

7.ทำไมมีขนาดเดียว ไม่มีขนาดใหญ่
เพราะเป็นขนาดและปริมาณที่พอเหมาะพอดีต่อร่างกาย ต่อ 1 วัน ถ้าดื่มมากเกินไปอาจเกิดผลเสีย อันดับแรกเลยคือ โรคอ้วน



8.มีจุลินทรีย์แล้วอยู่นอกตู้เย็นได้ไหม
ไม่ได้ เพื่อคุณภาพที่ดีควรเก็บยาคูลท์ไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 8 องศาเซลเซียส หากไม่แช่เย็นอาจเกิดการเน่าเสีย แต่การแช่เย็นจะไม่ทำลายแลคโตบาซิลลัสในยาคูลท์ สามารถมีชีวิตอยู่ได้

9.เด็กและสตรีมีครรภ์กินได้หรือไม่
กินได้แต่เด็กต้องมีอายุ 1 ปีขึ้นไป และไม่แนะนำให้ผู้ที่มีประวัติแพ้นมวัวดื่ม หญิงมีครรภ์ดื่มได้ตามปกติ อีกทั้งยังดีต่อสุขภาพด้วย ผู้หญิงตั้งครรภ์มักมีปัญหาท้องผูก ยาคูลท์จะช่วยระบาย แก้อาการอาหารไม่ย่อยและท้องผูกได้เป็นอย่างดี ผู้ที่รับประทานอาหารมังสาวิรัติก็ดื่มได้เพื่อช่วยสร้างสมดุลให้ร่างกาย

10.ยาคูลท์ใส่สารกันบูดหรือไม่
ยาคูลท์ไม่ได้เติมสารกันบูด เพราะกรดนมในยาคูลท์ที่เกิดจากจุลินทรีย์ชิโรต้า ถูกสร้างขึ้นในระหว่างกระบวนการหมักที่ช่วยป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์เน่าเสีย

11.ทำไมยาคูลท์ไม่มีแบบกล่อง
เมื่อก่อนยาคูลท์ถูกบรรจุในขวดแก้ว แต่ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้พลาสติก Poly Styrene (PS) ในการผลิต เพราะบริษัท ยาคูลท์ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นพลาสติก PS สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่เป็นพิษต่อสภาพแวดล้อม และไม่เป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค นอกจากนี้ยังมีแนวคิดให้ผู้บริโภคดื่มยาคูลท์จากขวดโดยตรง เพื่อลดปริมาณการใช้หลอดที่ทำจากพลาสติกย่อยสลายยาก เป็นการช่วยลดปัญหาโลกร้อนไปในตัว

12.ผู้ป่วยเบาหวานดื่มยาคูลท์ได้หรือไม่
เพราะมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบมาก ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนดื่ม เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ และหากดื่มได้ก็ต้องดื่มในปริมาณที่พอเหมาะเท่านั้น ควรทำตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด

13.ทำไมต้องซื้อจากสาวยาคูลท์เท่านั้น
เพื่อเป็นการรักษาบุคคลากร ไม่ให้พนักงานหญิงต้องตกงาน เป็นการช่วยเหลือพนักงานโดยตรง และด้วยบริษัทมีกำลังผลิตไม่พอ ไม่สามารถส่งขายเยอะๆ ได้เหมือนสินค้าชนิดอื่นๆ



14. ทำไมต้อง “ถามสาวยาคูลท์ดูสิคะ”
เพราะว่ามีพนักงานหญิงเป็นผู้ส่งสินค้า และในอดีตลูกค้าส่วนใหญ่เป็นแม่บ้าน จึงจุดประกายแนวคิดที่ว่าผู้หญิงกับผู้หญิงน่าจะพูดคุยกันได้ถูกคอ และสนิทใจที่จะให้คำแนะนำหรือถามไถ่ถึงสินค้าและผลิตภัณฑ์ และยังให้ความรู้สึกปลอดภัย วลียอดฮิตจึงถือกำเนิดขึ้นมา

ได้รู้จักยาคูลท์ ที่มาที่ไป และแนวคิดต่างๆ แล้ว น่ายกย่องมากๆ ใครที่ชอบดื่มยาคูลท์ก็ควรดื่มตามคำแนะนำเพียงวันละ 1 ขวดเท่านั้น ถ้าดื่มเยอะเกิดไปแล้วอ้วนจะหาว่าไม่เตือนไม่ได้นะ

ขอบคุณที่มา : lovenayou