“กาแฟ” เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนทั้งโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยทำงาน
มีอัตราการดื่มกาแฟสูงมากเป็นพิเศษ เพื่อความกระปรี้กระเปร่าในจากการทำงาน
ดื่มแก้ง่วง กาแฟ หากดื่มให้ดี ถูกดื่มวิธีก็จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ในปัจจุบันกาแฟถูกนำไปปรุงแต่งเพิ่มรสชาติ และเติมวัตถุดิบต่างๆ
ที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ดังนั้น เรามาดูกันว่า
ดื่มกาแฟอย่างไรถึงจะดีต่อสุขภาพ
1. ปริมาณที่พอเหมาะของการดื่มกาแฟในแต่ละวันอยู่ที่จำนวน 1-2 แก้ว ใครที่ดื่มวันละ 3 แก้วขึ้นไป ควรลดปริมาณลงให้พอเหมาะกับความต้องการของ่รางกายตัวเอง ควรสังเกตตัวเองว่า มีความไวของการตอบสนองต่อปริมาณกาแฟอยู่ที่กี่แก้ว และมีอาการอย่างไรหากดื่มกาแฟมากเกินปริมาณ เพราะร่างกายเรารับปริมาณคาเฟอีนได้ไม่มากเท่าไรนักในแต่ละวัน บางคนอาจมีอาการหัวใจสั่น ตาค้าง เพราะได้รับคาเฟอีนมากเกินจำเป็น และอย่าลืมว่าร่างกายคนเราต้องการน้ำดื่มมากกว่าคาเฟอีน
2. ไม่ควรดื่มกาแฟในช่วงบ่ายหรือหัวค่ำ เวลาที่ดีที่ควรดื่มกาแฟคือช่วงก่อนเที่ยง โดยเฉพาะในคนที่ดื่มกาแฟแล้วจะนอนไม่หลับยิ่งไม่ควรดื่มตอนเย็น
3. คาเฟอีนจะช่วยทำให้ร่างกายตื่นตัวได้ก็จริง แต่ไม่ควรดื่มเพื่อให้เราสามารถทำงานได้นานขึ้น เพราะสมองของเราก็ต้องการเวลาพักผ่อน จะเห็นว่าบางครั้งดื่มกาแฟไปแล้วแต่ไม่รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และสมองมีอาการเบลอ ทางที่ดีควรดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน เช่น เคยดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล.) ในตอนเช้า ก็ให้ลดปริมาณลงเหลือครั้งละ 2-3 ออนซ์ (60-90 มล) แต่บ่อยขึ้น ทั้งนี้กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาที และจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง
4. กาแฟมีฤทธิ์เป็นกรด ไม่ควรดื่มตอนท้องว่าง เพราะจะไปทำปฏิกิริยากับกระเพาะอาหารและลำไส้ บางคนจะรู้สึกแสบ นอกจากนี้ยังทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างฉับพลัน จนทำให้มีความรู้สึกอยากกินจุบจิบทั้งวัน ถ้าเป็นแบบนั้นน้ำหนักตัวก็จะพุ่งขึ้นตามไปด้วย
5. สำหรับคนที่ดื่มกาแฟแต่ไม่อยากได้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ควรเติมน้ำผึ้งแทนน้ำตาลหรือสารแทนความหวานจากน้ำตาล เพื่อสุขภาพทางที่ดีลองเปลี่ยนมาใส่น้ำผึ้งแทนจะดีกว่า เพราะสารแทนความหวานจากน้ำตาลก็มีความเสี่ยงต่อสุขภาพไม่น้อย แต่ที่ดีที่สุดคือไม่เติมความหวานลงไปเลย
6. สำหรับคนที่ดื่มกาแฟเป็นกิจวัตร ควรกินอาหารที่เป็นแหล่งของแคลเซียมควบคู่กันไปด้วย เพื่อทดแทนแคลเซียมที่ต้องสูญเสียไปกับปัสสาวะ ไม่ว่าจะเป็น นม โยเกิร์ต คะน้า บรอกโคลี หรือ ปลาเล็กปลาน้อย ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน หรืออาจปรับเปลี่ยนวิธีการชงกาแฟ มาใส่นมสดแทนครีมเทียมก็ได้
7. หากต้องการดื่มกาแฟเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง ควรเลือกดื่มกาแฟออร์แกนิกที่มีการปลูกโดยวิถีธรรมชาติ เพราะปราศจากการแต่งสีและกลิ่นสังเคราะห์ ปราศจากยาฆ่าแมลงและสารพิษต่างๆ ดีต่อสุขภาพและได้ประโยชน์ต่อร่างกายมากขึ้นด้วย
8. เมื่อดื่มกาแฟแล้วก็อย่าลืมรับประทานผลไม้อย่างเพียงพอด้วย เพราะในกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟ จะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้น ดังนั้นวิตามินซี อี และบีตาแคโรทีนในผักผลไม้ เช่น กล้วย แตงโม ส้ม ฝรั่งมะเขือเทศ แครอต ผักใบเขียว พวกนี้จะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายได้
9. เติมคุณค่าทางสารอาหารให้กาแฟของคุณ สำหรับกาแฟไม่ได้เติมได้เฉพาะน้ำตาลหรือครีมเทียมเพียงเท่านั้น เพราะยังสามารถเติมความกลมกล่อมเพิ่มรสชาติและประโยชน์ของกาแฟได้ โดยอาจใส่ชินนาม่อนลงไปในแก้ว เพื่อจะได้ช่วยปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด อีกทั้งยังช่วยเพิ่มวิตามินเคให้กับร่างกาย หรืออาจเติมผงโกโก้เพิ่มความอร่อย แถมยังได้ประโยชน์จาก โปรตีน ธาตุสังกะสี และไฟเบอร์เพิ่มขึ้นอีกด้วย
10. หลังดื่มกาแฟควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากฤทธิ์ในการขับปัสสาวะของคาเฟอีน
เมื่อทราบแล้วก็อย่าลืมปฏิบัติตามกันด้วยนะ เพื่อความสุขในการดื่มกาแฟและได้ดูแลสุขภาพไปในขณะเดียวกัน
ขอบคุณที่มา : honestdocs
1. ปริมาณที่พอเหมาะของการดื่มกาแฟในแต่ละวันอยู่ที่จำนวน 1-2 แก้ว ใครที่ดื่มวันละ 3 แก้วขึ้นไป ควรลดปริมาณลงให้พอเหมาะกับความต้องการของ่รางกายตัวเอง ควรสังเกตตัวเองว่า มีความไวของการตอบสนองต่อปริมาณกาแฟอยู่ที่กี่แก้ว และมีอาการอย่างไรหากดื่มกาแฟมากเกินปริมาณ เพราะร่างกายเรารับปริมาณคาเฟอีนได้ไม่มากเท่าไรนักในแต่ละวัน บางคนอาจมีอาการหัวใจสั่น ตาค้าง เพราะได้รับคาเฟอีนมากเกินจำเป็น และอย่าลืมว่าร่างกายคนเราต้องการน้ำดื่มมากกว่าคาเฟอีน
2. ไม่ควรดื่มกาแฟในช่วงบ่ายหรือหัวค่ำ เวลาที่ดีที่ควรดื่มกาแฟคือช่วงก่อนเที่ยง โดยเฉพาะในคนที่ดื่มกาแฟแล้วจะนอนไม่หลับยิ่งไม่ควรดื่มตอนเย็น
3. คาเฟอีนจะช่วยทำให้ร่างกายตื่นตัวได้ก็จริง แต่ไม่ควรดื่มเพื่อให้เราสามารถทำงานได้นานขึ้น เพราะสมองของเราก็ต้องการเวลาพักผ่อน จะเห็นว่าบางครั้งดื่มกาแฟไปแล้วแต่ไม่รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และสมองมีอาการเบลอ ทางที่ดีควรดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน เช่น เคยดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล.) ในตอนเช้า ก็ให้ลดปริมาณลงเหลือครั้งละ 2-3 ออนซ์ (60-90 มล) แต่บ่อยขึ้น ทั้งนี้กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาที และจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง
4. กาแฟมีฤทธิ์เป็นกรด ไม่ควรดื่มตอนท้องว่าง เพราะจะไปทำปฏิกิริยากับกระเพาะอาหารและลำไส้ บางคนจะรู้สึกแสบ นอกจากนี้ยังทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างฉับพลัน จนทำให้มีความรู้สึกอยากกินจุบจิบทั้งวัน ถ้าเป็นแบบนั้นน้ำหนักตัวก็จะพุ่งขึ้นตามไปด้วย
5. สำหรับคนที่ดื่มกาแฟแต่ไม่อยากได้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ควรเติมน้ำผึ้งแทนน้ำตาลหรือสารแทนความหวานจากน้ำตาล เพื่อสุขภาพทางที่ดีลองเปลี่ยนมาใส่น้ำผึ้งแทนจะดีกว่า เพราะสารแทนความหวานจากน้ำตาลก็มีความเสี่ยงต่อสุขภาพไม่น้อย แต่ที่ดีที่สุดคือไม่เติมความหวานลงไปเลย
6. สำหรับคนที่ดื่มกาแฟเป็นกิจวัตร ควรกินอาหารที่เป็นแหล่งของแคลเซียมควบคู่กันไปด้วย เพื่อทดแทนแคลเซียมที่ต้องสูญเสียไปกับปัสสาวะ ไม่ว่าจะเป็น นม โยเกิร์ต คะน้า บรอกโคลี หรือ ปลาเล็กปลาน้อย ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน หรืออาจปรับเปลี่ยนวิธีการชงกาแฟ มาใส่นมสดแทนครีมเทียมก็ได้
7. หากต้องการดื่มกาแฟเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง ควรเลือกดื่มกาแฟออร์แกนิกที่มีการปลูกโดยวิถีธรรมชาติ เพราะปราศจากการแต่งสีและกลิ่นสังเคราะห์ ปราศจากยาฆ่าแมลงและสารพิษต่างๆ ดีต่อสุขภาพและได้ประโยชน์ต่อร่างกายมากขึ้นด้วย
8. เมื่อดื่มกาแฟแล้วก็อย่าลืมรับประทานผลไม้อย่างเพียงพอด้วย เพราะในกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟ จะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้น ดังนั้นวิตามินซี อี และบีตาแคโรทีนในผักผลไม้ เช่น กล้วย แตงโม ส้ม ฝรั่งมะเขือเทศ แครอต ผักใบเขียว พวกนี้จะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายได้
9. เติมคุณค่าทางสารอาหารให้กาแฟของคุณ สำหรับกาแฟไม่ได้เติมได้เฉพาะน้ำตาลหรือครีมเทียมเพียงเท่านั้น เพราะยังสามารถเติมความกลมกล่อมเพิ่มรสชาติและประโยชน์ของกาแฟได้ โดยอาจใส่ชินนาม่อนลงไปในแก้ว เพื่อจะได้ช่วยปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด อีกทั้งยังช่วยเพิ่มวิตามินเคให้กับร่างกาย หรืออาจเติมผงโกโก้เพิ่มความอร่อย แถมยังได้ประโยชน์จาก โปรตีน ธาตุสังกะสี และไฟเบอร์เพิ่มขึ้นอีกด้วย
10. หลังดื่มกาแฟควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากฤทธิ์ในการขับปัสสาวะของคาเฟอีน
เมื่อทราบแล้วก็อย่าลืมปฏิบัติตามกันด้วยนะ เพื่อความสุขในการดื่มกาแฟและได้ดูแลสุขภาพไปในขณะเดียวกัน
ขอบคุณที่มา : honestdocs