US Research เผยว่า ช่วงปี 2000 ขณะที่คนบริโภคพลังงานจากไขมันลดลงกว่าปี
1971 แต่ผลรวมพลังงานที่พวกเธอได้รับต่อวันมากกว่า 1,200 แคลอรีเสียอีก
สิ่งนี้เกิดจากผู้ผลิต ใช้น้ำตาลทดแทนไขมัน คำว่า ไขมันต่ำ
จึงเป็นการหลอกให้ผู้บริโภคกิน โดยไม่คำนึงถึงจำนวนแคลอรี
“หากคุณไม่แตะต้องไขมันเลย
ก็จะไม่ได้รับไขมันดีหลายชนิดที่ช่วยลดน้ำหนักได้” รายงานจาก A Study in
Diabetes Care พบว่า
อาหารที่อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวอย่างอัลมอนด์
ช่วยป้องกันการรวมตัวของไขมันที่หน้าท้องได้ นักโภชนาการเสริมว่า
“หากบริโภคไขมันและคาร์โบไฮเดรตในมื้อเดียวกัน
จะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่” เมื่อกินเสร็จคุณจึงรู้สึกอิ่มแปล้
และไม่อยากกินขนมหวานอีก
โดยสามารถกระจายปริมาณไขมันและแป้งที่ได้รับตลอดวัน เช่น
กินข้าวกล้องกับไข่เจียว หรือ เนยถั่วกับขนมปังโฮลวีตเป็นมื้อเช้า
และเหยาะน้ำมันมะกอกใส่สลัดผักในมื้อกลางวัน
(ซื้อน้ำมันมะกอกอย่างดีติดครัวไว้สักขวด)
จำไว้ว่าไขมันที่เหมาะกับร่างกายเป็นสิ่งจำเป็นและ “ไขมันทรานส์”
เป็นหนึ่งเดียวที่ควรเลี่ยง
เพราะไขมันสังเคราะห์ตัวนี้ถูกแปรรูปโดยการเติมไฮโดรเจนเพื่อให้อาหารอยู่ได้นาน
(เช่น บิสกิต มักประกอบด้วยไขมันทรานส์ จึงเก็บไว้ได้นาน)
เป็นต้นตอเพิ่มระดับ LDL (Low Density Lipoprotein)
คอเลสเตอรอลชนิดเลวในเลือด และลดระดับ HDL (High Density Lipoprotein)
คอเลสเตอรอลชนิดดีในเลือด รู้จักเลือกไขมันเพื่อสุขภาพของร่างกาย
และจงระลึกไว้เสมอว่า
ไขมันทุกชนิดให้พลังงานมากกว่าโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตถึง 2 เท่า
ถึงจะเป็นไขมันดีแต่อย่าเผลอตัวกินเยอะล่ะ
น้ำมันมะกอกเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่คนมักลืมตัวกินเยอะ น้ำมันมะกอก
“หนึ่งถ้วย” ให้พลังงานเกือบ 8,000 กิโลจูล หรือ 1,912 กิโลแคลอรี
เกือบจะเท่ากับปริมาณพลังงานที่คนเราต้องการในแต่วันคือ 2,000 กิโลแคลอรี
ดังนั้น อย่าลืมวัดไขมันปริมาณก่อนกินนะคะ