อย่าเลื่อนผ่านไป แม่ใส่อารมณ์ลูก ส่งผลมาก ตวาดบ่อยๆต้องรู้ไว้

เสียเวลาหน่อยนะคะ แต่อ่านแล้วเข้าใจแน่ สำคัญมาก

ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีลูก คุณเป็นแม่คน ฉันรู้เลยว่าการเลี้ยงลูกมันเหนื่อยมากแค่ไหน มันไม่เหมือนกับการทำงาน แต่มันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตไปแล้ว คุณลองถามแม่ของคุณดูว่า ตอนที่ลูกอายุเท่าไหร่ แม่ถึงเบาใจได้มากที่สุด แม่ของคุณก็คงตอบว่า ตอนที่เล็กมากที่สุด เพราะว่าในตอนนั้น ลูกก็แค่กินแล้วก็นอน ตื่นมาแล้วก็กินแล้วก็นอนทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเป็นกังวลอะไรมาก

แต่เมื่อเวลาที่ลูกเติบใหญ่ขึ้น ความอดทนของพวกเขาก็มีขีดจำกัดที่น้อย ขีดจำกัดก็จะลดลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดทนไม่ไหว อาจจะต้องมีการตะคอกใส่ การตะโกน การส่งเสียงที่ดังมากขึ้น จนกระทั่งมานั่งเสียใจในภายหลัง โดยที่ไม่ให้ลูกรู้

เมื่อลูกของเราโตขึ้น หลายสิ่งต่างๆรอบตัวก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่เราสามารถควบคุมได้อีกต่อไป แล้วเราก็จะมีอารมณ์โมโหเพิ่มมากขึ้น พอทำลงไปก็ต้องมานั่งเสียใจ ในความเป็นลูก คนเป็นแม่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ และเมื่อลูกโตขึ้นเขาก็มีความคิดเป็นของตัวเอง เราจะมาคอยบงการบังคับให้ลูกทำแบบนู้นแบบนี้ก็คงไม่ได้ต่อไป
หลายครั้งในตอนที่คุณโมโหแล้วพูดไม่ดี แสดงสีท่าหน้าตาออกไปแล้ว คุณคิดว่าไม่ควรทำแบบนี้อีกต่อไป แต่ตอนที่คุณตวาดหรือว่าพูดไม่ดีเมื่อสักครู่หนึ่ง จิตใจของลูกจะเป็นเช่นไรใครจะรับรู้

ปัญหานี้มีอาจารย์ท่านหนึ่งได้ใช้วิธีการวาดรูปให้ลูกๆเพื่อแสดงถึงความรู้สึกที่แท้จริง

Schreimutter เป็นหนังสือที่ดีมากๆเกี่ยวกับการใช้ภาพควบคุมอารมณ์จนโด่งดังในปัจจุบันนี้ จนได้รับรางวัลพิเศษสำหรับภาพประกอบยอดเยี่ยม

เมื่อเช้า อยู่ดีๆแม่ฉันก็โมโหใหญ่

แม่ฉันก็เลยตวาดฉันเสียงดัง

ฉันตกใจจนร่างกายแยกออกเป็นชิ้นๆ

หัวของฉันลอยไปในจักรวาล

พุงของฉันตกลงไปในทะเลลึก

ปีกของฉันตกลงไปในป่า

ปากของฉันไปติดอยู่บนภูเขาสูง

แล้วหางของฉันล่ะ? มันไปตกอยู่กลางถนน

ฉันเหลือแค่ขาสองข้าง วิ่งสิวิ่ง ฉันจะร้อง แต่ไม่มีปาก ฉันจะมอง แต่ไม่มีตา ฉันจะบิน แต่ไม่มีปีก วิ่งสิวิ่ง ฉันวิ่งจนเย็นถึงทะเลทรายซาฮาร่า ฉันเหนื่อยแล้ว ตอนนั้นเงาใหญ่เข้ามาปกคลุมตัวฉัน

ที่แท้ก็คือแม่ขี๊โมโหของฉันขับเรือมาตามหาฉัน แม่เอาส่วนต่างๆที่หลุดลอยไปในที่ต่างๆกลับมาให้ฉัน เอากลับมาเย็บกลับไปอยู่ที่เดิม

แล้วสุดท้ายก็มาเจอเท้าของฉัน ก็เอามันเย็บเข้าด้วยกัน

แม่ขอโทษ แม่ขี๊โมโหบอกฉัน แล้วพวกเราก็ขับเรือกลับบ้านกัน เรื่องราวจบลงแบบนี้ แต่จิตใจของฉันกลับยากที่จะสงบลง จำได้ว่าไม่กี่วันก่อน ลูกบอกฉันว่า แม่คะ ถ้าห นูมีน้อง ห นูจะพูดกับน้องดีๆ จะไม่ทำเหมือนที่พ่อแม่ทำกับห นู ไม่โมโห ไม่ตวาด

มีบางครั้ง ฉันโกรธจนพูดเสียงดังใส่ลูก แกร้องไห้แล้วบอกฉันว่า แม่คะ อ่อนโยนกับห นูหน่อย

จริงๆแล้ว หลายๆครั้งที่ฉันพยายามควบคุม เพราะฉันยังเล็ก ฉันที่ถูกตวาดด้วยเสียงอันดังมาก่อน เมื่อก่อนฉันไม่เข้าใจ ทำไมคนในบ้านถึงขี๊โมโห คุณย่าชอบโกรธ พ่อก็ชอบโมโห ทำให้ฉันกลายเป็นคนแบบนี้

ต่อมาฉันถึงได้ตระหนักว่าครอบครัวส่งผลกระทบต่อฉันอย่างมาก ในเมื่อผู้ใหญ่ที่บ้านล้วนเป็นคนแบบนั้น ใช้คำพูดแบบนั้นในการสื่อสารกัน ทำให้ฉันกลายเป็นคนแบบนี้

แต่ฉันก็รู้สึกว่าฉันทำไม่ถูก หลายๆครั้งที่ฉันทำให้คนไม่พอใจโดยไม่รู้ตัว เพราะโทนเสียงของฉันทำให้คนอื่นเข้าใจผิด แม้ว่าจะเป็นการพูดด้วยความหวังดี แต่คนอื่นไม่อินด้วย

จนวันหนึ่ง เมื่อลูกสาวทำน้ำเสียงเหมือนกับฉัน ฉันถึงรู้ว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ฉันให้ลูกเตือนสติเวลาฉันพูดเสียงดัง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะไม่ง่าย แต่ฉันก็ค่อยๆรับรู้ได้ว่า บรรยากาศในครอบครัวดีขึ้นมาก อารมณ์ของตัวเองก็ดีขึ้น จริงๆแล้ว ตอนแรกๆที่ฉันหงุดหงิดใส่ลูก ก็เพราะแกยุ่งตอนฉันทำงาน เมื่อเจอปัญหาแล้ว ฉันก็พยายามทำงานที่ออฟฟิศให้เต็มประสิทธิภาพที่สุด เมื่อกลับมาบ้าน จะได้มีเวลาให้ลูกอย่างเต็มที่ หรือเวลาที่จำเป็นต้องใช้มือถือหรือใช้คอมพิวเตอร์ ฉันก็จะบอกลูกอย่างชัดเจน แม่จำเป็นต้องดูมือถือแป็ปนึง น่าจะประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะมีงานสำคัญ เมื่ออธิบายให้แกฟังดีๆ ลูกก็เข้าใจ เพราะว่าพวกแกรู้เรื่องกว่าที่เราคิดมาก

วิธีการที่พ่อแม่ใช้พูดคุยกับลูก ก็คือวิธีที่ลูกจะใช้สื่อสารกับคนอื่นในสังคม พวกเราจำเป็นต้องควบคุมอารมณ์ตัวเอง บอกลูกว่า การพูดจาเสียงดังแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ โมโหโกรธาก็แก้ปัญหาไม่ได้ ในทางกลับกัน เมื่อเราควบคุมอารมณ์แล้วคุยกับคนอื่นดีๆ เราจะพบว่าเรื่องมันไม่ได้แย่ขนาดที่เราคิด

พ่อแม่ทุกคนรู้ว่า เวลาเราโมโห ส่งผลกระทบต่อลูกอย่างมาก ลูกของคุณจะเหมือนเพนกวินในเรื่อง เมื่อคุณตวาดใส่ แกจะตกใจจนกระเจิดกระเจิง แล้วลูกก็จะเอาวิธีที่คุณทำกับแกไปใช้กับเพื่อน เมื่อโตขึ้นเขาก็จะทำแบบนั้นกับคนรัก และลูกของเขา เพราะเขาเคยชินกับวิธีการแบบนั้นมาตั้งแต่เล็ก นอกเสียจากว่า เขาจะมีสติรับรู้ได้ถึงปัญหา และตัดสินใจเปลี่ยนแปลง

เราเป็นคนธรรมดา โกรธได้บ้าง แต่หลังจากนั้น อย่าลืมขอโทษลูก บอกแกว่าทำไมคุณถึงโมโห แม้ว่าคุณจะโมโหใส่แก แต่ไม่ได้แปลว่าแกไม่ดี ไม่ได้แปลว่าคุณไม่รักแก

จุดสำคัญก็คือ ต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ อย่าให้มันกลายเป็นนิสัยเสีย สิ่งที่คุณทำกับลูกจะติดอยู่กับตัวแก ถ้าคุณมอบสิ่งที่ดีให้ แกก็จะมีพลังมีความสุข แต่ถ้าคุณมอบแผลให้ แกก็จะเจ็บปว ดไม่มีที่สิ้นสุด

ก็เหมือนกับเจ้าเพนกวิน แม้ว่าจะถูกเย็บกลับมาเหมือนเดิม แต่ก็มีรอยแผลเป็นเต็มตัว ทุกครั้งที่คุณอารมณ์พุ่ง จะสร้างแผลให้กับลูก

ตอนเล็กๆบอกบาง ใสสะอาด คุณควรจะใช้ความอ่อนโยน พูดจากับแกดีๆ แกฟัง ถ้าแกไม่ฟัง คุณก็ต้องเปลี่ยนวิธีในการพูด

เขียน / เรียบเรียงส่วนหนึ่งโดย : Postsod

ขอขอบคุณ : LIEKR, Schreimutter