นึกไม่ออกเลยว่ามีใครบ้างที่ไม่ใช้โลชั่น
ไม่ว่าจะทาหน้า ตัว หรือมือ
เพราะโลชั่นได้กลายเป็นวัตถุดิบในการใช้ชีวิตของทั้งชายและหญิง
ทว่าในยุคสมัยที่โลชั่นไม่ใช่สินค้าที่มีวางขายทั่วไปเป็นอย่างไรบ้าง?
โลชั่นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร
และกลายเป็นอุตสาหกรรมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในทุกวันนี้ได้อย่างไร
จากเรื่องเล่าและข้อมูลที่เก่าแก่ที่สุดของการใช้โลชั่นเกิดขึ้นเมื่อ 3000
ปีก่อนคริสตกาล จากชาวสุเมเรียนโบราณและชาวอียิปต์โบราณ แน่นอนว่าในตอนนั้น
ทุกอย่างทำจากธรรมชาติ เช่น ไขมันสัตว์ น้ำมัน และน้ำผึ้ง
ชาวสุเมเรียนใช้พืชบดและน้ำมันจากต้นไม้เป็นส่วนผสม
ในขณะที่ชาวอียิปต์ใช้ส่วนผสม อย่าง น้ำมันละหุ่ง สมุนไพร นม และน้ำผึ้ง
ผสมจนกลายเป็นเนื้อเดียวกันจากนั้นก็นำมาชโลมลงบนผิว
ในช่วงเวลานั้นการดูแลผิวและการปกป้องผิวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอารยธรรมต่าง ๆ
เช่น ชาวอียิปต์โบราณที่อาศัยอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อน แห้ง และลมแรง
ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพผิว
สำหรับขวดโลชั่นที่เก่าแก่ที่สุดขวดหนึ่งเป็นของราชินีแห่งอียิปต์
Hatshepsut ซึ่งมีข่าวลือว่าพระนางทุกข์ใจจากสภาพผิวที่ผิดปกติ
(โรคสะเก็ดเงิน) ส่วนผสมภายในขวดโลชั่นมีร่องรอยของน้ำมันลูกจันทน์เทศ
น้ำมันปาล์ม ไขมัน และเบนโซไพรีน
(เบนโซไพรีนเป็นหนึ่งในสารก่อมะเร็งที่อันตรายที่สุดในโลกและมีความเป็นพิษสูง)
ด้วยเหตุนี้ระบบการดูแลผิวพรรณของ Queen Hatshepsut
จึงเสียหายและอาจมีส่วนทำให้พระนางเสียชีวิตด้วย
ชาวกรีกโบราณใช้น้ำมันมะกอก ขี้ผึ้งผสมกันและทาลงบนผิว
นอกจากนี้ยังบดขนมปัง
ผสมนมแล้วทาลงบนใบหน้าเพื่อช่วยให้ผิวของพวกเขาชุ่มชื้น
เมื่อเวลาผ่านไป
วัฒนธรรมที่แตกต่างได้ทำให้ผู้คนนำสมุนไพรและกลิ่นหอมจากดอกไม้ ผลไม้
ผสมลงในโลชั่นและยาทาบำรุงผิว เพื่อให้เกิดกลิ่นหอม
ตลอดจนเพิ่มความสามารถในการย้อมสีผิวให้สวยตามความนิยม
โลชั่นและครีมดูแลผิว ณ เวลานั้นจึงมักผลิตขึ้นในบ้านของผู้คนและเก็บไว้ในภาชนะที่ทำเอง อายุการเก็บรักษาจึงสั้นมาก
จนกระทั่งช่วงปลายศตวรรษที่ 19
มีการคิดค้นโลชั่นที่ผลิตในเชิงพาณิชย์สมัยใหม่
ซึ่งมีสารกันบูดเพื่อช่วยให้โลชั่นมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น
ทำให้ตลอดช่วงต้นทศวรรษ 1900 แบรนด์ดัง ๆ อย่าง Estee Lauder และ Clinique
เริ่มปรากฏต่อสาธารณชน และโฆษณาเกี่ยวกับการดูแลผิว
รวมถึงการขายที่เข้าถึงผู้คนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้โลชั่นจึงกลายเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ผู้คนให้ความสนใจจนถึงโลกยุคปัจจุบัน
ความแตกต่างที่สำคัญประการหนึ่งคือ ในชีวิตสมัยใหม่
การอาบน้ำร้อนเป็นประจำถือเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าน้ำจะช่วยให้ร่างกายสะอาด
แต่น้ำร้อนไม่ได้ช่วยให้ผิวเราชุ่มชื่นเลย
เพราะน้ำร้อนเมื่อสัมผัสผิวแล้วจะดึงน้ำมันและความชื้นตามธรรมชาติออกจากผิว
ผิวจึงค่อย ๆ แห้งลง
นอกจากนี้มลภาวะในอากาศยังเป็นสาเหตุสำคัญของการทำลายผิวเราด้วย
ไม่ต้องพูดถึงสารเคมีรุนแรงที่เราสัมผัสในชีวิตประจำวัน เช่น
น้ำยาทำความสะอาดในครัวเรือน สเปรย์ และสารไล่แมลง
การมีโลชั่นดี ๆ จึงไม่เพียงแต่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวเท่านั้น
แต่ยังช่วยปกป้องผิวเราได้
แม้ว่ายุคนี้เราจะมาไกลจากการบดขนมปังและนมที่นำมาทาลงบนผิวหน้าแล้ว
แต่ถ้าประวัติของโลชั่นได้สอนอะไรเรา สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือ
เราควรให้ความสำคัญกับผิวของเราอยู่เสมอ
เพราะผิวมีบทบาทสำคัญต่อภาพลักษณ์โดยรวม
การหาแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่คุณไว้วางใจได้สักหนึ่งขวดจึงเป็นสิ่งที่ดีนั่นเอง
ดังคำที่กล่าวไว้ว่า “ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ ขาวดำอยู่ที่ทาครีม”
ที่มา :