รู้ให้ทัน "ยาเสียสาว" ผู้หญิงดื่มเหล้าต้องคอยระวัง

โดนมอมยาเสียสาวแล้วทำไมถึงมีความรู้สึกร้อนวูบวาบ มีอารมณ์ทางเพศพุ่งสูงอย่างไม่รู้ตัว เป็นแบบนี้เพราะอะไรกันแน่ สาว ๆ ต้องรู้ให้ทัน ยาเสียสาวหรือยาเสียตัวกันค่ะ เพราะหากกินเกินขนาดอาจถึงแก่ชีวิตได้เลย

          หลังจากที่เราเคยได้ยินข่าวยาเสียสาวที่ทำให้ผู้หญิงเสียท่าไปมีอะไรกับผู้ชายโดยไม่รู้ตัวมาหลายเคสแล้ว เพื่อความปลอดภัยของสาว ๆ สายปาร์ตี้ที่ชอบเที่ยวกลางคืน กระปุกดอทคอมได้นำข้อมูลของยาเสียสาว หรือยาเสียตัวมาให้รู้จัก พร้อมด้วยวิธีดูแลตัวเองให้รอดปลอดภัยจากการถูกมอมยามาฝากค่ะ

ยาเสียสาวคืออะไร

          ยาเสียสาว ที่เราได้ยินข่าวกันนั้น จริง ๆ แล้วเป็นการนำยาหรือสารเคมีบางประเภทมาใช้ในทางที่ผิด ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกมึนงง ไม่ได้สติ เพื่อหวังรูดทรัพย์ หรือล่วงละเมิดทางเพศ เช่น

          - ยาอัลปราโซแลม ซึ่งปกติถูกใช้เป็นยากลุ่มต้านอาการซึมเศร้า

          - ยามิดาโซแลม หรือโดมิคุม เป็นกลุ่มยาระงับประสาท รักษาอาการนอนไม่หลับ

          - ยาฟลูไนตราซีแปม หรือชื่อการค้า โรฮิปนอล (Rohypnol) มีฤทธิ์ทำให้นอนหลับ

          - สาร GHB (Gamma-Hydroxybutyric) มีผลออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้รู้สึกตื่นตัว รู้สึกสนุก โดยในทางการแพทย์มักจะใช้ยา  GHB  ในการวางยาสลบเพื่อผ่าตัด ทำคลอด หรือใช้รักษาโรคทางจิตเวชบางชนิด เช่น โรคง่วงหลับ โรคพิษสุราเรื้อรัง เป็นต้น แต่ปัจจุบันสาร GHB ถูกถอนออกจากบัญชียาตั้งแต่ปี 2533 แล้ว และจัดอยู่ในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 1 หากเสพหรือมีไว้ในครอบครองจะมีทั้งโทษปรับและจำคุก

          ทั้งนี้ ลักษณะของยาเสียสาวจะมีทั้งในรูปแบบเม็ดยา ชนิดผง และชนิดเหลวใส มีรสเค็มเล็กน้อย จึงละลายกลมกลืนกับเครื่องดื่มได้ง่าย และมักออกฤทธิ์ได้เร็วไม่เกิน 30 นาทีหลังจากรับประทานยา

ยาเสียสาว โดนมอมยาแล้วอาการเป็นอย่างไร

          ยาเสียสาว อาการแสดงจะขึ้นอยู่กับปริมาณตัวยาที่ได้รับ โดยอาการแสดงจะมีดังนี้

          1. หากได้รับปริมาณยาไม่มาก ในช่วง 5-10 นาทีแรกจะมีอาการมึนงง ง่วงซึม คลื่นไส้ อาเจียน เคลื่อนไหวลำบาก

          2. เริ่มไม่มีสติ และอาจรู้สึกเคลิบเคลิ้มคล้ายความรู้สึกตอนดื่มแอลกอฮอล์ ยิ่งหากดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปด้วยจะทำให้รู้สึกร้อนวูบวาบ ร้อนจนอยากถอดเสื้อผ้าออก

          กรณีเป็นยา GHB หากกินร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะมีอาการคลื่นไส้ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หัวใจและปอดทำงานช้าลง ความดันโลหิตต่ำ มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ และหากรับเกินขนาดอาจถึงขั้นชัก หมดสติ และเสียชีวิตได้ในที่สุด 

          3. ในกรณีที่ได้รับยาในปริมาณที่สูง อาจส่งผลกดการทำงานของสมอง กดการทำงานของระบบหายใจ หมดสติ

          4. หากได้รับยาเสียสาวร่วมกับยาเสพติดชนิดอื่น ๆ อาจทำให้อาการหนักขึ้นได้

          5. คนโดนมอมยาตัวนี้เข้าไปอาจสูญเสียความทรงจำไปชั่วขณะ ทำให้ไม่สามารถจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมหรือการถูกคุกคามทางเพศ

          อย่างไรก็ตาม หากสงสัยว่ายาเสียสาวกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ยังไง ทางเภสัชกรพงษ์ศักดิ์ สง่าศรี ให้คำตอบว่า ยาเสียสาวมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และอวัยวะเพศหญิงก็มีเส้นเลือดอยู่มาก จึงอาจกระตุ้นให้เกิดอาการวาบหวาม รู้สึกอยากมีเพศสัมพันธ์ได้ ทั้งนี้ หากร่างกายได้รับยาเสียสาวเข้าไปในปริมาณมากเกินไป อาจอันตรายถึงชีวิตได้เลยนะคะ เนื่องจากยาประเภทนี้มีฤทธิ์กดการหายใจ

ยาเสียสาว ถ้าไม่อยากเสียตัวจะป้องกันอย่างไร

          วิธีป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับยาเสียสาวสามารถทำได้ ดังนี้

          1. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มหรือรับประทานอาหารจากคนแปลกหน้า

          2. หากต้องละทิ้งแก้วเครื่องดื่มของตัวเองเพื่อไปทำธุระส่วนตัว พยายามเปลี่ยนแก้วเครื่องดื่มใหม่ทันที เพื่อป้องกันตัวเองจากสิ่งปนเปื้อนที่ใครสักคนอาจใส่ลงไปในแก้วเครื่องดื่มเราในระหว่างที่เราไม่อยู่

          3. พยายามดื่มเครื่องดื่มแบบจิบ ๆ หลีกเลี่ยงการดื่มแบบยกหมดแก้ว เพราะหากเกิดอาการจะได้ไหวตัวทัน

          4. ไม่ดื่มเครื่องดื่มแก้วเดียวกับผู้อื่น

          5. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่บรรจุอยู่ในภาชนะปากกว้าง เพราะเป็นรูปแบบภาชนะที่ใส่ยาลงไปได้ง่าย

          6. ไม่ควรไปเที่ยวกลางคืนคนเดียว ควรมีคนที่ไว้ใจด้วยไปเป็นเพื่อน

          7. ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์จนไม่ได้สติ แต่ควรกินอย่างพอดี ไม่ให้เมาจนเกินไป

          8. หากมีอาการผิดปกติ เช่น มึนงงเร็วกว่าปกติ รู้สึกวูบวาบ คลื่นไส้ อาเจียน ให้รีบโทร. หาคนที่ไว้ใจได้ให้มารับ และรีบออกจากสถานบันเทิงโดยเร็วที่สุด

          สำหรับคนที่ชอบไปปาร์ตี้ ชอบดื่มแอลกอฮอล์ ควรระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเครื่องดื่มของตัวเองไม่ควรให้ห่างสายตา ที่สำคัญพยายามอย่าดื่มจนขาดสติอย่างที่บอกไปด้วยนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

   

- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

- คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล