Home »
Uncategories »
ไข่ฟองเดียวแบ่งกิน 4 คน หนุ่มดวงซวยช่วยน้ำท่วม ขาติดเชื้อต้องตัดทิ้ง ยังสู้เลี้ยงลูก 3 คนลำพัง
ไข่ฟองเดียวแบ่งกิน 4 คน หนุ่มดวงซวยช่วยน้ำท่วม ขาติดเชื้อต้องตัดทิ้ง ยังสู้เลี้ยงลูก 3 คนลำพัง
วันที่ 18 สิงหาคม 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านโคกสำโรง
คุ้มโคกเจริญ สพฐ 208 หมู่ 9 ต.ราม อ.เมืองสุรินทร์
พบครอบครัวหนึ่งมีฐานะยากจน ไม่มีแม้ข้าวสารจะกรอกหม้อ อาศัยอยู่ 4 คน
พ่อกับลูก ทราบชื่อคือ นายอนุชิต นิราชโศรก อายุ 36 ปี พิการขาขวาขาด
ป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย โรคเมลิออยด์ และม้ามโต ส่วนลูกอีก 3 คนๆแรก
ด.ญ.กัลยา นิราชโศรก อายุ 14 ปี (ไม่ได้ศึกษาต่อ) คนที่ 2 ด.ช.พงศกร
นิราชโศรก อายุ 9 ขวบ เรียนชั้น ป.3 และคนที่ 3 ด.ช.จิรายุ นิราชโศรก อายุ
6 ขวบ เรียนชั้นอนุบาล 3
โดยบ้านหลังนี้ ด.ญ.กัลยา ได้รับบ้านพระราชทานจากในหลวง ร.9 เมื่อปี
2558 ภายในบ้านมีอุปกรณ์เครื่องใช้ฟ้าที่รับบริจาคมาพร้อมบ้านหลังใหม่
มีตู้เย็น เตาแก็ส กระทะไฟฟ้า และพัดลม
ทั้งหมดถูกจัดอย่างเป็นระเบียบสะอาดเรียบร้อย มีห้องครัวและห้องน้ำในตัว
มีข้าวสารที่ไปขอมาจากวัด และอุปกรณ์ทำครัว
ส่วนอาหารวันนี้มีเพื่อนบ้านเอาไข่มาให้ 2 ฟอง
ในทุกๆ เช้านายอนุชิต นิราชโศรก (พ่อ) อายุ 36 ปี กับลูกชายคนเล็กวัย 6
ขวบ จะขับรถจักรยานยนต์พ่วงข้างไปรอรับพระที่จะออกไปบิณฑบาต
โดยใช้ขาซ้ายที่มีอยู่ สตาร์ทเครื่อง ใส่เกียร์ ออกเดินทางจากบ้านไปวัด
ระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร โดยรับพระบิณฑบาต ระยะทางไกลกว่า 3 หมู่บ้าน
และจะกลับมาพร้อมกับข้าวมื้อที่อร่อยที่สุด ซึ่งหลังจากหลวงพ่อฉันเสร็จ
ก็จะแบ่งอาหารให้นายอนุชิต เอากลับมาทานกับลูกๆที่บ้าน ซึ่งนายอนุชิต
นิราชโศรก (พ่อ) อายุ 36 ปี มีลูกอยู่ 3 คน คนที่ 1 ชื่อเด็กหญิงกัลยา
นิราชโศรก อายุ 14 ปี (ไม่ได้ศึกษาต่อ) คนที่ 2 ชื่อเด็กชายพงศกร นิราชโศรก
อายุ 9 ขวบ เรียนชั้น ป.3 โรงเรียนใกล้บ้าน คนที่ 3 เด็กชายจิรายุ
นิราชโศรก อายุ 6 ขวบ เรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนเดียวกัน
นายอนุชิต นิราชโศรก (พ่อ) อายุ 36 ปี เล่าว่า
เมื่อปีที่น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่กรุงเทพมหานคร ตนเลยไปช่วยหน่วยทหาร
ทางทหารเลยให้ตนช่วยลากเรือพลาสติกขนอาหารไปแจกจ่ายให้ประชาชนตามซอยต่างๆ
และรับส่งประชาชนที่จะเข้า-ออก โดยการเดินลุยน้ำซึ่งลึกเท่าคอ ลากเรือไป-มา
ตนอาสาช่วยได้อยู่ประมาณ 3 เดือน ส้นเท้าขวาเป็นแผลเสียดสี
จึงเกิดอาการติดเชื้อ และขาขวาก็เริ่มมีสีคล้ำจนกลายเป็นสีดำในที่สุด
ตนเลยเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในเขตกรุงเทพ
และกลับมารักษาตัวที่สุรินทร์ ทีมแพทย์ที่ จ.สุรินทร์ระบุ
อาการขาขึ้นเป็นสีดำจะลุกลามขึ้นวันละ 1 เซ็นติเมตร
กระทั่งต้องเข้ารับการรักษาโดยด่วนโดยการตัดขาที่ติดเชื้อทิ้งไป
ต่อมาทางโรงพยาบาลที่ จ.สุรินทร์
ได้ส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลในเขตกรุงเทพเพื่อไปรักษาอาการติดเชื้อกว่า
2 ปี แพทย์ระบุว่า ตนมีภูมิต้านทานทางร่างกายต่ำ เพราะเป็นโรคธาลัสซีเมีย
(โรคโลหิตจาง) ซึ่งในขณะที่ตนลุยน้ำช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั้น
ตนเองก็ไม่คิดว่าต้องมาเป็นแบบนี้ หลังจากแพทย์อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล
ตนและครอบครัว ก็ย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านแฟน ที่ จ.ศรีสะเกษ
แล้วจึงย้ายเข้ามาอยู่ที่สุรินทร์ อยู่ได้สักระยะหนึ่ง
แฟนตนไม่สามารถทนอยู่กับความลำบากที่กำลังเผชิญอยู่ได้
จึงขอเดินทางเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ และได้ไปมีครอบครัวใหม่ มีลูกใหม่
ทิ้งลูกไว้ให้ตนเลี้ยงดูทั้ง 3 คน ตนรู้สึกท้อมากในขณะนั้น ทั้งเรื่องลูก
และจะต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่ตลอด
ซึ่งปัจจุบันนี้ตนก็ยังต้องพึ่งยาคลายเครียด ยาแก้โรคซึมเศร้าอยู่
ตอนนั้นตนไม่รู้จะทำมาหากินอะไร
จึงเดินทางไปส่งพระบิณฑบาตและพระก็จะแบ่งอาหารมาให้
ซึ่งตนก็จะเอามาให้ลูกๆกัน จะกินได้แค่ 2 มื้อคือ เช้า-เที่ยง
เพราะส่วนใหญ่จะเป็นกับข้าวสำเร็จ ไว้ได้ไม่เกินเที่ยง
ส่วนอาหารเย็นก็หาซื้อกับข้าวทำกินเอง
และปัจจะบันนี้ตนเองร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ตนจึงไม่สามารถออกไปส่งพระบิณฑบาตได้ ทางพระเองก็แบ่งข้าวสาร-อาหารแห้ง
มาให้กินกัน รายได้ตอนนี้มีแค่เงินเดือนผู้พิการ 800 บาท
และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
หากเวลาที่ตนและลูกต้องเข้าโรงพยาบาลก็ต้องไปหาหยิบยืมน้าๆอาๆ
และเพื่อนบ้านบ้าง ซึ่งตอนนี้ตนเองก็มีโรคประจำตัวอยู่หลายโรค
ทั้งโรคธาลัสซีเมีย คือโรคโลหิตจาง
ซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรมและลูกสาวคนโตก็ได้รับโรคนี้ด้วย
ต้องไปรับเลือดที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดทุกเดือน ตน 1 ครั้ง ลูกตนอีก 1
ครั้ง หนึ่งเดือนเข้าโรงพยาบาลประมาณ 2-4 ครั้ง
ซึ่งทุกครั้งตนจะต้องขับมอเตอร์ไซด์พ่วงข้าง และต้องพาลูกๆไปทุกคน
เพราะทิ้งลูกคนเล็กไว้ไม่ได้ ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร
หากวันไหนที่ตนขับไม่ไหว ก็จำเป็นต้องให้ลูกสาวเป็นคนขับแทน
ซึ่งลูกสาวคนโตตอนนี้อายุประมาณ 14 ปี เรียนชั้น ม.1 โรงเรียนประจำตำบล
แต่ลูกไม่ได้ไปเรียนเพราะตนไม่มีเงินให้ลูกไปเรียนประมาณปีกว่าๆแล้ว
อีกอย่างตนก็จำเป็นจะต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำและและลูกสาวก็ต้องเข้าไปรับเลือดและลูกสาวก็ต้องมาดูแลตนด้วย
เพราะม้ามตนเริ่มโตเลยเกิดอาการเจ็บปวดที่ท้องทำอะไรไม่ได้เลย
กินข้าวก็ปวดเพราะกระเพาะขยายตัวไปโดนม้าม เดินได้ไม่ถึง 10 เมตร
ซึ่งแต่ละวันลูกสาวต้องรับผิดชอบงานบ้านทุกอย่าง ทั้งหุงข้าว ล้างจาน
ซึ่งเวลาที่ตนเจ็บปวดเมื่อยเพราะอาจจะเดินมากไปหรือนั่งมากไป
ลูกสาวก็จะมาบีบนวดให้ ส่วนโรคที่ 2 คือโรคโรคเมลิออยด์
อาการมีไข้สูงจนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล
การกินอยู่บางครั้งก็มีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง หากไม่มีกับข้าวลูกๆ
ก็จะราดซอสคลุกข้าวกินเปล่าวๆ บางครั้งเพื่อนบ้านสงสาร เอาอาหารมาแบ่งบ้าง
หากวันไหนไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ตนก็จะไปขอที่วัดเอา
สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือ แทพย์ให้ตนตัดสินในว่าจะผ่าม้ามหรือไม่
หากไม่ผ่าทางโรงพยาบาลก็จนปัญญาจะช่วยให้หาย ส่วนตัวของตนเองก็อยากผ่า
เพื่อบ้านที่มาเยี่ยมก็แนะนำให้ผ่า ซึ่งม้ามมันโตมากแล้ว
มันดูดเลือดไปหมดเพราะร่างกายตนไม่สามารถสร้างเลือดเองได้เหมือนคนปกติ
แต่มันก็ลำบากเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะไม่รู้หลังผ้าตัด
จะต้องนอนพักรักษาตัวอยู่นานแค่ไหน และลูกคนเล็กกับคนที่ 2
ก็ต้องเรียนด้วยไม่มีใครดูแล เลยทำให้ลำบากใจในการตัดสินใจ
และก็ไม่มีเงินที่จะไปนอนรักษาด้วย เมื่อหลายปีก่อนทาง
อบต.ส่งชื่อไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยส่งเคราะห์ ได้มา 2,000 บาท
และตอนที่ผู้ว่าฯเดินทางมาที่ ต.ราม ตนก็ได้เงินช่วยเหลืออีก 2,000 บาท
ขอบคุณ siamnews.com