หลายคนคิดว่า ไส้ติ่ง
เป็นอวัยวะที่ไม่ได้มีประโยชน์อันใดในร่างกาย
ได้แต่รอวันที่เศษอาหารเข้าไปสะสม จนอักเสบ แล้วต้องผ่าตัดทิ้งไปในที่สุด
คุณผู้หญิงบางคนที่ผ่าตัดหน้าท้องเพื่อคลอดบุตร
จึงอาจขอร้องให้คุณหมอหันไปตัดไส้ติ่งให้ด้วยเสียเลย ถือว่าตัดไฟแต่ต้นลม
แต่จริงๆ แล้ว ไส้ติ่ง... ใครว่าไม่สำคัญ เพราะดันมีงานวิจัยว่าไส้ติ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าที่เราคิด และ ถ้าตัดไส้ติ่งไปแล้ว จะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้มากขึ้น จริงเท็จแค่ไหน รายละเอียดเป็นอย่างไร ติดตามอ่านรายละเอียดได้จากโพสของคุณหมออาคิ จากเฟซบุ๊คเพจ Dr.Aki – หมออาคิ ด้านล่างเลยค่ะ
____________________
<< ไส้ติ่ง...ใครว่าไม่สำคัญ?? >>
นานมาแล้วที่ "ไส้ติ่ง" ถูกเข้าใจว่าไม่มีประโยชน์กับมนุษย์เรา เป็นเพียงส่วนที่หลงเหลือจากวิวัฒนาการของมนุษย์ ในขณะที่สัตว์กินพืชทั้งหลายเช่น ม้า, วัว ฯ จะมีไส้ติ่งที่ใหญ่มากทำหน้าที่ช่วยย่อยสลายพืชที่กินเข้าไป
แล้วไส้ติ่งในคนทำหน้าที่อะไร?
เมื่อดูเนื้อเยื่อไส้ติ่งโดยใช้กล้องจุลทรรศน์จะพบว่ามีเม็ดเลือดขาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ไส้ติ่งจึงเป็นเหมือนบ้านพักของเม็ดเลือดขาวที่ช่วยป้องกันภัยบริเวณลำไส้ของเรา นอกจากนี้การศึกษาทางการแพทย์ในระยะหลังยังพบว่า ไส้ติ่งมีส่วนช่วยให้แบคทีเรียดีในลำไส้เจริญแพร่กระจายในลำไส้ได้ดี ทำให้ลดสัดส่วน'แบคทีเรียไม่ดี'ภายในลำไส้ได้นั่นเอง
เมื่อไม่นานมานี้มีงานวิจัยเชิงสถิติที่ช่วยยืนยันความสำคัญของไส้ติ่ง โดยศึกษาในกลุ่มประชากรกว่า 400,000 คน เป็นเวลา 14 ปี พบว่า คนที่เคยผ่าตัดไส้ติ่งจะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ภายใน 3 ปีครึ่ง เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ผ่าตัดไส้ติ่ง อย่างไรก็ตามเมื่อดูจากระยะเวลา 3 ปีครึ่งเป็นต้นไปอัตราการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ของทั้งสองกลุ่มจะไม่ต่างกันมาก
สำหรับผู้ที่กังวลว่าถ้าตัดไส้ติ่งไปแล้ว จะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้มากขึ้นนั้น จากผลการศึกษาข้างต้นชี้ชัดว่าโอกาสเป็นมะเร็งจะมากขึ้นแค่ช่วงประมาณ 3 ปีครึ่งหลังจากผ่าตัดเท่านั้น ดังนั้นถ้าเราผ่าไส้ติ่งไปแล้วเกินกว่า 3 ปีครึ่งก็ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ครับ
สรุปได้ว่า ไส้ติ่งนั้นมีความสำคัญในด้านการสนับสนุนภูมิคุ้มกันของระบบลำไส้ของเรา ทั้งยังส่งเสริมให้แบคทีเรียดีเจริญได้มากขึ้นในลำไส้ ส่งผลช่วยยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็งในลำไส้ของเรา
แต่จริงๆ แล้ว ไส้ติ่ง... ใครว่าไม่สำคัญ เพราะดันมีงานวิจัยว่าไส้ติ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าที่เราคิด และ ถ้าตัดไส้ติ่งไปแล้ว จะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้มากขึ้น จริงเท็จแค่ไหน รายละเอียดเป็นอย่างไร ติดตามอ่านรายละเอียดได้จากโพสของคุณหมออาคิ จากเฟซบุ๊คเพจ Dr.Aki – หมออาคิ ด้านล่างเลยค่ะ
____________________
<< ไส้ติ่ง...ใครว่าไม่สำคัญ?? >>
นานมาแล้วที่ "ไส้ติ่ง" ถูกเข้าใจว่าไม่มีประโยชน์กับมนุษย์เรา เป็นเพียงส่วนที่หลงเหลือจากวิวัฒนาการของมนุษย์ ในขณะที่สัตว์กินพืชทั้งหลายเช่น ม้า, วัว ฯ จะมีไส้ติ่งที่ใหญ่มากทำหน้าที่ช่วยย่อยสลายพืชที่กินเข้าไป
แล้วไส้ติ่งในคนทำหน้าที่อะไร?
เมื่อดูเนื้อเยื่อไส้ติ่งโดยใช้กล้องจุลทรรศน์จะพบว่ามีเม็ดเลือดขาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ไส้ติ่งจึงเป็นเหมือนบ้านพักของเม็ดเลือดขาวที่ช่วยป้องกันภัยบริเวณลำไส้ของเรา นอกจากนี้การศึกษาทางการแพทย์ในระยะหลังยังพบว่า ไส้ติ่งมีส่วนช่วยให้แบคทีเรียดีในลำไส้เจริญแพร่กระจายในลำไส้ได้ดี ทำให้ลดสัดส่วน'แบคทีเรียไม่ดี'ภายในลำไส้ได้นั่นเอง
เมื่อไม่นานมานี้มีงานวิจัยเชิงสถิติที่ช่วยยืนยันความสำคัญของไส้ติ่ง โดยศึกษาในกลุ่มประชากรกว่า 400,000 คน เป็นเวลา 14 ปี พบว่า คนที่เคยผ่าตัดไส้ติ่งจะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ภายใน 3 ปีครึ่ง เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ผ่าตัดไส้ติ่ง อย่างไรก็ตามเมื่อดูจากระยะเวลา 3 ปีครึ่งเป็นต้นไปอัตราการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ของทั้งสองกลุ่มจะไม่ต่างกันมาก
สำหรับผู้ที่กังวลว่าถ้าตัดไส้ติ่งไปแล้ว จะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้มากขึ้นนั้น จากผลการศึกษาข้างต้นชี้ชัดว่าโอกาสเป็นมะเร็งจะมากขึ้นแค่ช่วงประมาณ 3 ปีครึ่งหลังจากผ่าตัดเท่านั้น ดังนั้นถ้าเราผ่าไส้ติ่งไปแล้วเกินกว่า 3 ปีครึ่งก็ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ครับ
สรุปได้ว่า ไส้ติ่งนั้นมีความสำคัญในด้านการสนับสนุนภูมิคุ้มกันของระบบลำไส้ของเรา ทั้งยังส่งเสริมให้แบคทีเรียดีเจริญได้มากขึ้นในลำไส้ ส่งผลช่วยยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็งในลำไส้ของเรา
- ถึงแม้ว่าไส้ติ่งจะมีความสำคัญกับเรา แต่ถ้าเกิดเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งจำเป็นต้องตัดไส้ติ่งทิ้ง ก็สามารถกระทำได้โดยไม่ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของตัวเราครับ
____________________
ขอขอบคุณ
ข้อมูล :เฟซบุ๊ค Dr.Aki - หมออาคิ