“เด็กบ้านนอก” ถูกส่งมาเรียนในเมืองกรุง แต่ชีวิตพลิกผันต้องออกจากโรงเรียนมา “ขายก๋วยเตี๋ยว”

วันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ มาติดตามเรื่องราวของเด็กบ้านนอกผู้ถูกส่งให้มาเรียนที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ 10 ขวบ แต่แล้วชีวิตก็พลิกผันต้องออกจากโรงเรียนมาทำก๋วยเตี๋ยวขาย ไม่หันหลังกลับแต่กัดฟันสู้

เดิม “น้องปิ่น” เป็นคน จ.ขอนแก่น แต่ยายส่งให้มาเรียนที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุ 10 ปี พ่อและแม่แยกทางกันตั้งแต่น้องปิ่นอายุ 2 ปี น้องปิ่นออกจากโรงเรียนตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 6 แต่น้องปิ่นก็ไม่ได้ละทิ้งการเรียนแต่อย่างใด ปัจจุบันเธอยังคงเรียน กศน.

“ไม่เด่นไม่ดังจะไม่หันหลังกลับไป” เพลงในตำนานที่เราได้ยินมานานแสนนานแต่ไม่เคยเข้าใจความหมายลึกซึ้งของมัน จนกระทั่งเราได้บังเอิญไปเจอเด็กสาวแววตากร้านชีวิตที่ยืนขาแข็งลวกเส้นก๋วยเตี๋ยว ทันทีที่เห็นเด็กคนนี้ เรารู้ทันทีว่า เด็กคนนี้มีบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้น้องต้องต่อสู้เพื่อตัวเองขนาดนี้

แดดอ่อน ๆ ยามบ่าย เราเดินหาอาหารกินเรื่อยเปื่อยจนบังเอิญเจอ “ฌัชณรี ทองศรี” หรือ “ก๋วยเตี๋ยวน้องปิ่น” อายุ 14 ปี เด็กสาวขอนแก่นผู้ทิ้งบ้านเกิดมาตั้งแต่อายุ 10 ปี เพื่อมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ

แต่อย่างที่เรารู้กันดีว่ากรุงเทพฯ เมืองศิวิไลซ์แห่งนี้ ไม่ได้มีความสบายไว้สำหรับเราทุกคน ปิ่นมีโอกาสเรียนถึงแค่ ป. 6 หลังจากนั้น คือโลกความเป็นจริงที่ปิ่นต้องเผชิญ ปิ่นต้องตื่น 6 โมงเช้ามาช่วยยายเตรียมของขายก๋วยเตี๋ยวและขายไปจนถึงบ่าย ยามเย็นก็ต้องช่วยขายข้าวแกงจนถึง 4 ทุ่ม

ยายของปิ่นบอกว่า อยากให้ปิ่นฝึกทำทุกอย่างเองให้เป็น เพราะยายไม่สามารถอยู่กับปิ่นไปตลอดชีวิตได้ เลยสอนให้ปิ่นทำก๋วยเตี๋ยวขาย และดูแลชีวิตประจำวันตัวเองให้ได้ ปิ่นมีโอกาสเรียนเพียง กศน. แรงกดดันที่ถูกส่งมาจากบ้านทำให้เธอต้องอดทนอยู่ในเมืองศิวิไลซ์ที่ใคร ๆ ต่างบอกว่า “กรุงเทพฯชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว” แต่อาจจะไม่ลงล็อกสำหรับเด็กบ้านนอกอย่างเรากับปิ่นเท่าไร ว่าแล้วไปคุยกับน้องกันเลยดีกว่า

แอบบอกก่อนว่าเราก็เป็นเด็กบ้านนอกมาก ๆ คนหนึ่งต้องจากบ้านที่พิษณุโลกมาเรียนในเมืองกรุงฯ เราเคยคิดว่าเราต่อสู้กับชีวิตในกรุงเทพฯ มามากพอแล้ว แต่แล้วเราก็ต้องยอมเด็กคนหนึ่ง เด็กอายุ 14 ที่ทำให้เราคิดว่าการต่อสู้ที่แท้จริงมันเหนื่อยมาก มากจนเราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

เมื่อเราเจอ “ปิ่น” เราสั่งก๋วยเตี๋ยวปิ่นกินทันที ระหว่างที่ปิ่นทำ เราสังเกตแววตาของเด็กสาวคนนี้ มันมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนเรา เราเลยถามน้องว่า น้องเป็นคนจังหวัดอะไร น้องบอกว่า “ขอนแก่นค่ะ” โป๊ะเชะ! เด็กต่างจังหวัดเหมือนกัน คุยสนุกแน่งานนี้

เมื่อปิ่นทำก๋วยเตี๋ยวให้เราเสร็จเราบอกว่าทำมาอีกจานหนึ่ง เอาเมนูที่ปิ่นชอบกิน ปิ่นก็ทำอย่างรวดเร็ว เมื่อทำเสร็จเราก็ยื่นให้ปิ่นคืนแล้วบอกว่า กินเป็นเพื่อนพี่หน่อย น้องดูงง ๆ เล็กน้อย แต่ก็กินอย่างรวดเร็ว ระหว่างกินเราพูดคุยกับปิ่นในเรื่องต่าง ๆ นานา เรากับปิ่นต่างมีพื้นหลังเหมือนกัน เราต่างแบกความเป็น

เด็กบ้านนอกเหมือนกัน เราต่างเข้าใจในทุกสิ่งที่ปิ่นเล่าอย่างดี และที่ยิ่งไปกว่านั้น ปิ่นไม่เคยกลับบ้านเลย เราถามปิ่นว่า ทำไมไม่กลับบ้าน ไม่คิดถึงบ้านหรอ ปิ่นบอกว่า

“หนูยังกลับไม่ได้”

คำตอบสั้น ๆ ที่ไม่ต้องขยายความเราก็พอจะรู้ดีว่าเพราะอะไร เราถามปิ่นว่าทำไมถึงทำอะไรมากมายขนาดนี้ได้ เหนื่อยไหม ปิ่นตอบด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ว่า

“หนูต้องอดทน”

ทันทีที่พูดจบ น้ำตาน้องก็ไหลออกมา แต่น้องอ่อนแอเพียงไม่นาน ก็หันมายิ้มให้เช่นเดิม

ทันทีที่จบประโยคน้ำใส ๆ ก็ไหลมาจากตาของเด็กคนนี้ ชีวิตเราต้องสู้ แต่ใครจะไปรู้ว่าต้องสู้เร็วขนาดนี้ ลองนึกภาพเด็ก 10 ขวบ มาเดินหาความฝันในกรุงเทพฯ สิ เหมือนนิยาย แต่นี่คือชีวิตจริง และที่น่าเศร้าคือ ปิ่นก็ยังไม่รู้ว่าชีวิตหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปความเคว้งคว้างของเด็กคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านไป…ยังมีอีกหลายเรื่องที่เรายังไม่ได้เล่า แต่ขอยืนยันด้วยใจว่าเด็กคนนี้อดทนมากจริง ๆ

เราฟังเรื่องราวของปิ่นทั้งหมดเสร็จเราก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะบอกว่า “แกมันโคตรเก่งเลยว่ะปิ่น”

ปิ่นยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม เราก็เฮ้ย ร้องทำไม ฉันชมแกนะ ปิ่นยิ้มทั้งน้ำตาพร้อมกับตอบว่า

“ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครชมหนูเลย”

คำตอบของปิ่นทำเอาเราอึ้งไปแป๊บหนึ่งก่อนจะตั้งสติใหม่ นั่นสินะ คนบางคนเกิดมาไม่เคยได้รับเรื่องอ่อนโยนเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เลย น้องทำให้เรารู้ว่า คำบางคำอาจเปลี่ยนโลกทั้งใบของคนบางคน คำชมเล็ก ๆ อาจเป็นแรงผลักดันต่อชีวิต และกำลังใจคนคนหนึ่งไปอีกนาน ประโยคสุดท้ายที่เราคุยกับปิ่น เราบอกปิ่นว่า

“กลับบ้านบ้างนะ ไม่ต้องรอให้เรียนจบหรือประสบความสำเร็จก็ได้ แกมีคนรออยู่” พอเราพูดจบ ปิ่นร้องไห้หนักว่าเดิม คงเก็บทุกอย่างในใจมานาน ถึงเวลาแกก็ต้องวางบ้างนะปิ่น…

หลังจากที่คุยกันแล้ว เราเลยขอตัวมาชิมก๋วยเตี๋ยวฝีมือน้องกันบ้าง เราให้ปิ่นทำ “เส้นเล็กไก่” (35 บาท) น้องให้มาแน่นชามเลยทีเดียว เส้นเล็กของน้องเหนียวกำลังดี หอมกลิ่นกระเทียมเจียวเล็ก ๆ น้ำซุปกลมกล่อม หอมเครื่องเทศมาก กับอีกเมนู “เกาเหลาไก่” (40 บาท) กินคู่กับ “ข้าวเปล่า” (5 บาท) กินคู่กันรสชาติกำลังดี กลมกล่อม หอมกลิ่นสมุนไพรเบา ๆ

ใครที่กำลังหาร้านก๋วยเตี๋ยวย่านพระโขนงกิน ก็แวะไปชิมฝีมือน้องได้ ร้านเปิดตั้งแต่เวลา 08.00 -20.00 น. หลังจากนั้นน้องจะช่วยขายข้าวแกงจนถึง 23.00 น. แวะไปอุดหนุนน้องกันได้นะคะ

และสำหรับน้องปิ่นรวมถึงอีกหลาย ๆ คนที่ทิ้งบ้านมาทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วยังไม่กล้ากลับบ้านไม่ว่าจะช่วงเวลาไหนก็ตาม เราอยากบอกกับพวกเขาเหล่านั้นว่า ถ้ามีโอกาสก็กลับบ้านบ้างนะ ไปอยู่บ้านดี ๆ กลับไปมองคนในครอบครัวเราดี ๆ กลับไปดูแลเขา เพราะบางทีความสุข และเชื้อเพลิงแห่งการสู้ชีวิตที่แท้จริงของคนที่รอเราอยู่ที่บ้านก็คงเพียงแค่ได้เจอหน้าเจอเราเท่านั้นแหละ

 

แหล่งที่มา: wongnai