ทำงานหนักไปเพื่ออะไร เตือนมนุษย์เงินเดือนที่โหมงานไม่ลืมหูลืมตาให้รู้ไว้ อย่าทำงานเก็บเงินไปใช้ในห้อง ICU !
ปฏิเสธไม่ลง ปลงก็คงได้ไม่นาน เพราะทุกวันนี้ที่เรายังต้องตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันงก ๆ ก็เพราะการแข่งขันในสังคมที่สูง สภาพเศรษฐกิจที่ผลักดันให้เราต้องดิ้นรนเพื่อหาเงินเข้าบัญชีเยอะ ๆ ไว้ก่อน เพราะในอนาคตก็คงไม่มีใครตอบได้ว่าชีวิตจะเป็นยังไง
ทว่าหากมุ่งทำแต่งานจนลืมหาเวลามาดูแลสุขภาพของตัวเอง ลองถามใจดูอีกทีนะว่านี่เราทำงานหนักเพื่อเก็บเงินไปใช้ในห้อง ICU อยู่หรือเปล่า ไม่ก็ลองนึกถึงวัยเกษียณ วันที่สุขภาพเริ่มทรุดโทรม ตอนนั้นเงินที่เก็บไว้ก็คงไม่พ้นต้องเอามารักษาโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่แน่ ๆ
ทำงานหนักเกินไป ก่อโรคภัยอะไรได้บ้างนะ ?
คนที่ทำงานหนักมากไป ลองหันกลับมาถามร่างกายดูบ้างก็ได้นะคะว่าเหนื่อยไหม ไหวหรือเปล่า เพราะอาการแรก ๆ ที่คนทำงานหนักได้พบเจอกันบ่อย ๆ นั่นก็คือความอ่อนเพลีย เมื่อยล้า ซึ่งแปลได้ว่าร่างกายกำลังอ่อนแอลง และพร้อมจะรับเชื้อโรคที่ลอยล่องอยู่ตามสภาพแวดล้อมในที่ทำงานได้ง่ายขึ้น จนเสี่ยงต่อโรคและอาการเจ็บป่วยต่อไปนี้
1. โรคตึกเป็นพิษ
โรคนี้มีอยู่จริง ๆ ค่ะ และเป็นโรคที่เกิดขึ้นภายในที่ทำงาน โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมที่ทำงานที่ไม่ถูกสุขอนามัย มีฝุ่นหนา ไม่ได้รับการทำความสะอาดที่ดี หรือเป็นสถานที่ทำงานที่ต้องเจอกับสารเคมี กลิ่นไม่พึงประสงค์บ่อย ๆ อาจทำให้เกิดอาการของโรคตึกเป็นพิษ ซึ่งได้แก่ อาการอ่อนล้า ปวดหัว เวียนศีรษะ คลื่นไส้ คัดจมูก ไอ จาม เกิดผดผื่นคัน ระคายเคืองดวงตา หรือมีความผิดปกติที่ประสาทรับกลิ่น เป็นต้น
ทั้งนี้หากไม่ใส่ใจ และปล่อยปละละเลยเอาไว้นาน อาการของโรคตึกเป็นพิษอาจทวีความรุนแรงเอาได้นะคะ
2. โรคเครียด
ยอมรับไหมล่ะว่าการทำงานหนักทำให้รู้สึกเครียดได้จริง ๆ ยิ่งหากเจองานที่มีความกดดันสูง หรือบางทีเราก็กดดันตัวเองให้ต้องทำงานเยอะ ๆ ปัจจัยเหล่านี้แหละจะทำให้คุณมีระดับความเครียดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งความเครียดเหล่านี้ก็จะทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย เช่น ปวดหัว อ่อนล้า คลื่นไส้ และอารมณ์เกรี้ยวกราด นอกจากนี้ความเครียดยังทำให้ประสิทธิภาพของงานลดลงอีกด้วย ไม่เชื่อมาดูนี่สิ
- ผลกระทบสุดแย่ ที่เกิดเพราะแค่คุณเครียด
- สัญญาณเตือนความเครียด
3. อ้วนขึ้น
จากการศึกษาในออสเตรเลียพบว่า การนั่งเป็นเวลานานติดต่อกันวันละหลายชั่วโมง มีผลกระทบต่อระบบการเผาผลาญอาหาร เพราะการเผาผลาญจะน้อยลงเมื่อเรานั่ง และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อ้วนและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด แถมยังมีการวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่นั่งทำงานมากกว่าวันละ 6 ชั่วโมงต่อวัน อาจมีอัตราเสี่ยงในการเสียชีวิตสูงกว่าผู้ที่นั่งทำงานเพียง 3 ชั่วโมงต่อวันถึง 40% เลยทีเดียว
4. ออฟฟิศซินโดรมคืบคลานมาหา
นั่งนาน ๆ หรือยืนนาน ๆ อาการปวดก็มักจะถามหา โดยเฉพาะเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ไม่แน่ว่าบางทีลักษณะการนั่งทำงานของคุณอาจผิดท่า หรือไม่ถูกหลักสุขภาพที่ดีจนอาจเสี่ยงต่อโรคออฟฟิศซินโดรมก็ได้ หรือเบาะ ๆ อาจมีอาการปวดตามส่วนต่าง ๆ หนักมาก หรือปวดเรื้อรัง เป็นต้น
งั้นเอาเป็นว่ามาลองเช็กเลยดีกว่าว่าเรามีอาการปวดคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดข้อมือ ตาแห้ง เห็นภาพเบลอ เมื่อจ้องคอมพิวเตอร์นาน ๆ หรือเปล่า ถ้ามีอาการตามนี้ก็ต้องปรับพฤติกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงอาการเจ็บป่วยดังกล่าวแล้วล่ะ
5. สายตาพัง
การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานเกินไปอาจทำให้เกิดโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม ซึ่งจะทำให้ดวงตามีปัญหาเรื่องการมองเห็น โดยอาการจะเริ่มจากการตาแห้ง ปวดหัว คอ และไหล่ และอาจจะทำให้มองเห็นเป็นภาพเบลอ วิธีป้องกันโรคนี้ก็คือการละสายตาจากคอมพิวเตอร์แล้วหันไปมองต้นไม้ใบหญ้าสีเขียว ๆ เพื่อเป็นการผ่อนคลายสายตาทุก ๆ 20 นาที
6. ความสัมพันธ์แย่
มีการศึกษาค้นพบว่าผู้หญิงกว่า 61% ที่ทำงานภายใต้ความเครียดและความกดดันนั้นจะส่งผลลบต่อความสัมพันธ์นอกออฟฟิศ ในขณะที่ฝ่ายชายนั้นมีอัตราที่ความเครียดจะทำลายความสัมพันธ์นอกออฟฟิศสูงถึง 79% เลยเชียว !
7. โรคคาโรชิ
ชื่อบอกยี่ห้อมาก ๆ ว่าได้รับการตั้งชื่อโรคมาจากแดนปลาดิบ แต่ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษจะหมายถึง Death from Overwork หรือ การเสียชีวิตจากการทำงานหนัก พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำงานหนักจนตาย หรือบ้างานจนตายนั่นเอง และในญี่ปุ่นแล้ว อัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ค่อนข้างสูงมาก ดูได้จากข่าวพนักงานชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ ที่เคยเกิดขึ้นบ่อย ๆ โดยบางคนนั่งรถไฟกลับบ้านอยู่ดี ๆ ก็เสียชีวิตเอาดื้อ ๆ ทางการแพทย์จึงฟันธงว่า สาเหตุการเสียชีวิตน่าจะมาจากโรคคาโรชินี่แหละ ที่เกิดจากการทำงานหนักมาก ๆ จนร่างกายทนต่อไปไม่ได้
นอกจากนี้ คนบ้างานหลาย ๆ คนก็อาจยังไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคคาโรชิแล้วด้วยนะคะ ที่สำคัญเมื่อทำงานหนัก เครียดจากงานก็ไปดื่มแอลกอฮอล์ หรือกินไม่ยั้งเพื่อคลายเครียด ทำให้อาจพักผ่อนไม่เพียงพอ เสี่ยงโรคไขมันอุดตัน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคมะเร็ง แม้กระทั่งอัมพาต จนอาจโบกมือลาโลกใบนี้ไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวในที่สุด
ฉะนั้นคนที่ทำงานหนักแบบหามรุ่งหามค่ำ เราอยากให้ทำความรู้จักกับโรคคาโรชิ ไว้สักหน่อย ก่อนพลาดป่วยด้วยโรคนี้ไป
เห็นไหมว่าการโหมทำงานอย่างหนักไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นอย่างที่คาดฝันไว้เสมอไป แต่อาจนำพาสุขภาพพัง ๆ มาถึงเราได้ และหากรู้ตัวว่าบ้างานหนักมาก ก็มาลองเช็กอาการด้วยว่าเรามีความเสี่ยงจะป่วยด้วยโรคต่าง ๆ มากน้อยแค่ไหน โดยเช็กได้จากนี่เลย
สัญญาณนี้แหละใช่ ทำงานหนักเกินไปแล้วชัวร์ ๆ
- ปวดเมื่อยตามตัว โดยเฉพาะบริเวณหลัง ไหล่ ท้ายทอย สายตา ปวดศีรษะ และข้อมือ
- มีอาการตาพร่ามัว มองเห็นภาพเบลอ โดยเฉพาะหลังจากนั่งทำงานไปแล้วสักพักใหญ่ ๆ
- แค่ขยับก็รู้สึกเจ็บ เพราะเกิดอาการเอ็น ข้อ ยึด จากการนั่งติดเก้าอี้เป็นเวลานาน ๆ
- หมดพลัง เหมือนไร้เรี่ยวแรงจะลุกไปไหน
- ให้ความสนใจแต่เรื่องงาน คิดอะไรก็เป็นเรื่องงานไปซะหมด
- บ้างานซะจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว คนใกล้ตัว หรือแม้แต่ตัวเอง
- มักจะหอบงานกลับมาทำที่บ้านด้วยเสมอ ๆ
- ทำงานจนดึก และมักจะอดนอนเป็นประจำ
- อยู่ว่าง ๆ ก็เช็กอีเมลเรื่องงานเป็นประจำ ไม่เว้นแม้แต่ตอนพักผ่อนอยู่ที่บ้าน
- พกมือถือของบริษัทติดตัวตลอด หรือมักจะคอยฟังเสียงโทรศัพท์เพราะคิดว่าอาจมีคนติดต่อเรื่องงานเข้ามา
- คอยสอดส่องข่าวสารเกี่ยวกับหน้าที่การงาน และมักจะเป็นคนแรก ๆ ที่ได้ข่าวสารเรื่องงานก่อนใคร ๆ
- ยอมใช้สมาร์ทโฟนเพื่อจะได้ติดต่อเรื่องงานอย่างสะดวกมากขึ้น นอกจากนั้นก็แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์จากแอพพลิเคชั่นอื่น ๆ เลย
- สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น
- มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ซึ่งอาจเป็นอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเบื้องต้น เช่น อาการปวดศีรษะ ปวดตา หรือเป็นหวัดไม่หายสักที
- มีแนวโน้มดื่มกาแฟมากขึ้นทุกวัน ๆ
- บางคนก็เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวใส่เพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะกับคนที่เราคิดว่าเขาทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพอย่างที่เราคาดหวังไว้
- หงุดหงิดง่ายขึ้น มองอะไรก็ไม่สบอารมณ์ ทุกอย่างดูขวางหูขวางตาไปหมด เพราะเครียดกับงานมากเกินไป
หากเช็กสัญญาณแล้วพบว่าตัวเองมีอาการบ้างานมากเกินไปอยู่หลายข้อ แนะนำว่าให้รีบปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองเสียใหม่ จะได้ไม่เป็นการโหมทำงานหนักเกินไปเพื่อเก็บเงินเอาไว้ใช้ในห้อง ICU หรือหากยังไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงยังไงดี ลองมาดูวิธีเหล่านี้ก่อนเลย
ทำงานอย่างนี้สิดี ไม่เอาเงินที่มีไปจ่ายค่าหมอ
ทำงานเก็บเงินงก ๆ สุดท้ายต้องเอาเงินที่ออมไว้ไปใช้รักษาตัวซะหมด วิถีชีวิตอย่างนี้ไม่ถูกต้องอย่างแรงค่ะ งั้นเอาเป็นว่าเรามาทำงานแบบพอดี ๆ เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามนี้ดีกว่า
1. จัดลำดับความสำคัญของงาน สิ่งไหนควรทำก่อน-หลัง และอย่าคิดไปเองว่าทุกอย่างสำคัญเท่ากันหมด
2. ยืดเส้นยืดสายบ้าง เมื่อรู้สึกตัวว่านั่งทำงานติดต่อกันเกิน 1 ชั่วโมง ให้ลุกไปเดินเล่นหรือเข้าห้องน้ำสักหน่อย ทว่าหากไม่คุ้นกับการพักเบรก ลองตั้งนาฬิกาปลุกไว้เตือนให้ลุกเลย
3. พยายามละสายตาจากหน้าจอคอมพ์ ให้ได้ทุก 20 นาที เพื่อพักสมองและพักสายตาไปในตัว
4. เที่ยงปุ๊บลุกปั๊บ ปิดคอมฯ เก็บงาน แล้วไปพักเบรกข้างนอก
5. เลิกงานตรงเวลา อย่าแคร์ว่าใครจะหาว่าเรารีบกลับบ้าน และบอกบอสไปว่าแค่เลิกงานตรงเวลา สุขภาพก็ดีขึ้นทันตาอย่างเห็นได้ชัด !
6. พยายามอย่าเอางานกลับไปทำที่บ้าน
7. แบ่งเวลาชีวิตให้เหมาะสม เวลางานคืองาน เวลาพักต้องพัก และหาเวลาไปผ่อนคลายบ้าง
8. ไปเที่ยวบ้าง อย่าลืมว่ามีสิทธิ์ลาพักร้อน พาตัวเองออกห่างจากงานสักพักอย่างน้อยปีละครั้งก็ยังดี
9. ปฏิเสธเสียบ้าง อย่าหอบเอางานมาไว้บนบ่ามากเกินไป หากงานเต็มไม้เต็มมืออยู่แล้ว คุณก็มีสิทธิ์เซย์โนกับงานชิ้นใหม่นะ
10. ตั้งเป้าหมายงานในแต่ละสัปดาห์ เคลียร์ให้เสร็จเป็นอย่าง ๆ ลดภาระงานในแต่ละวันได้บ้างก็ยังดี
11. หาวิธีคลายเครียดเมื่อรู้สึกเครียด อย่าง 40 วิธีคลายเครียด สลัดทิ้งให้เกลี้ยง แค่ 5 นาทีก็เอาอยู่ อย่างนี้เป็นต้น
12. ยืดหยุ่นซะบ้าง หากทำเต็มที่แล้วจริง ๆ งานไหนที่นอกเหนือความสามารถในการจัดการบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นไร อย่ากดดันตัวเองมากไป
13. หาเวลาไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
14. พักผ่อนให้เพียงพอ เลิกกันทีกับการทำงานจนดึกดื่นแทบทุกวัน
15. หาเวลาว่างเคลียร์ตัวเองสักหน่อย ทั้งจัดโต๊ะทำงานใหม่ เคลียร์อีเมลเก่า ๆ หรือเอกสารที่รกรุงรังเต็มไปหมด แค่นี้ก็จะช่วยให้งานดูเบาลงเยอะแล้ว
แม้ว่างานคือเงิน ต่อยอดชีวิตของเราให้มีต้นทุนในการจับจ่ายใช้สอย ทว่าอย่าให้เงินเป็นงานซะหมดดีกว่า เพราะอย่างที่บอกล่ะค่ะ หากมุ่งทำงานเก็บเงินจนลืมดูแลสุขภาพของตัวเอง คงไม่พ้นต้องนำเงินที่หามาได้ไปรักษาตัวเมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยแน่ ๆ ฉะนั้นมีชีวิตเดียวก็ควรต้องใช้ให้คุ้มทุก ๆ ด้านจริงไหม ?
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
goodhousekeeping
MENSXP
wikihow
lifehacker
jobsDB
ปฏิเสธไม่ลง ปลงก็คงได้ไม่นาน เพราะทุกวันนี้ที่เรายังต้องตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันงก ๆ ก็เพราะการแข่งขันในสังคมที่สูง สภาพเศรษฐกิจที่ผลักดันให้เราต้องดิ้นรนเพื่อหาเงินเข้าบัญชีเยอะ ๆ ไว้ก่อน เพราะในอนาคตก็คงไม่มีใครตอบได้ว่าชีวิตจะเป็นยังไง
ทว่าหากมุ่งทำแต่งานจนลืมหาเวลามาดูแลสุขภาพของตัวเอง ลองถามใจดูอีกทีนะว่านี่เราทำงานหนักเพื่อเก็บเงินไปใช้ในห้อง ICU อยู่หรือเปล่า ไม่ก็ลองนึกถึงวัยเกษียณ วันที่สุขภาพเริ่มทรุดโทรม ตอนนั้นเงินที่เก็บไว้ก็คงไม่พ้นต้องเอามารักษาโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่แน่ ๆ
ทำงานหนักเกินไป ก่อโรคภัยอะไรได้บ้างนะ ?
คนที่ทำงานหนักมากไป ลองหันกลับมาถามร่างกายดูบ้างก็ได้นะคะว่าเหนื่อยไหม ไหวหรือเปล่า เพราะอาการแรก ๆ ที่คนทำงานหนักได้พบเจอกันบ่อย ๆ นั่นก็คือความอ่อนเพลีย เมื่อยล้า ซึ่งแปลได้ว่าร่างกายกำลังอ่อนแอลง และพร้อมจะรับเชื้อโรคที่ลอยล่องอยู่ตามสภาพแวดล้อมในที่ทำงานได้ง่ายขึ้น จนเสี่ยงต่อโรคและอาการเจ็บป่วยต่อไปนี้
1. โรคตึกเป็นพิษ
โรคนี้มีอยู่จริง ๆ ค่ะ และเป็นโรคที่เกิดขึ้นภายในที่ทำงาน โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมที่ทำงานที่ไม่ถูกสุขอนามัย มีฝุ่นหนา ไม่ได้รับการทำความสะอาดที่ดี หรือเป็นสถานที่ทำงานที่ต้องเจอกับสารเคมี กลิ่นไม่พึงประสงค์บ่อย ๆ อาจทำให้เกิดอาการของโรคตึกเป็นพิษ ซึ่งได้แก่ อาการอ่อนล้า ปวดหัว เวียนศีรษะ คลื่นไส้ คัดจมูก ไอ จาม เกิดผดผื่นคัน ระคายเคืองดวงตา หรือมีความผิดปกติที่ประสาทรับกลิ่น เป็นต้น
ทั้งนี้หากไม่ใส่ใจ และปล่อยปละละเลยเอาไว้นาน อาการของโรคตึกเป็นพิษอาจทวีความรุนแรงเอาได้นะคะ
2. โรคเครียด
ยอมรับไหมล่ะว่าการทำงานหนักทำให้รู้สึกเครียดได้จริง ๆ ยิ่งหากเจองานที่มีความกดดันสูง หรือบางทีเราก็กดดันตัวเองให้ต้องทำงานเยอะ ๆ ปัจจัยเหล่านี้แหละจะทำให้คุณมีระดับความเครียดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งความเครียดเหล่านี้ก็จะทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย เช่น ปวดหัว อ่อนล้า คลื่นไส้ และอารมณ์เกรี้ยวกราด นอกจากนี้ความเครียดยังทำให้ประสิทธิภาพของงานลดลงอีกด้วย ไม่เชื่อมาดูนี่สิ
- ผลกระทบสุดแย่ ที่เกิดเพราะแค่คุณเครียด
- สัญญาณเตือนความเครียด
3. อ้วนขึ้น
จากการศึกษาในออสเตรเลียพบว่า การนั่งเป็นเวลานานติดต่อกันวันละหลายชั่วโมง มีผลกระทบต่อระบบการเผาผลาญอาหาร เพราะการเผาผลาญจะน้อยลงเมื่อเรานั่ง และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อ้วนและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด แถมยังมีการวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่นั่งทำงานมากกว่าวันละ 6 ชั่วโมงต่อวัน อาจมีอัตราเสี่ยงในการเสียชีวิตสูงกว่าผู้ที่นั่งทำงานเพียง 3 ชั่วโมงต่อวันถึง 40% เลยทีเดียว
4. ออฟฟิศซินโดรมคืบคลานมาหา
นั่งนาน ๆ หรือยืนนาน ๆ อาการปวดก็มักจะถามหา โดยเฉพาะเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ไม่แน่ว่าบางทีลักษณะการนั่งทำงานของคุณอาจผิดท่า หรือไม่ถูกหลักสุขภาพที่ดีจนอาจเสี่ยงต่อโรคออฟฟิศซินโดรมก็ได้ หรือเบาะ ๆ อาจมีอาการปวดตามส่วนต่าง ๆ หนักมาก หรือปวดเรื้อรัง เป็นต้น
งั้นเอาเป็นว่ามาลองเช็กเลยดีกว่าว่าเรามีอาการปวดคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดข้อมือ ตาแห้ง เห็นภาพเบลอ เมื่อจ้องคอมพิวเตอร์นาน ๆ หรือเปล่า ถ้ามีอาการตามนี้ก็ต้องปรับพฤติกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงอาการเจ็บป่วยดังกล่าวแล้วล่ะ
5. สายตาพัง
การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานเกินไปอาจทำให้เกิดโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม ซึ่งจะทำให้ดวงตามีปัญหาเรื่องการมองเห็น โดยอาการจะเริ่มจากการตาแห้ง ปวดหัว คอ และไหล่ และอาจจะทำให้มองเห็นเป็นภาพเบลอ วิธีป้องกันโรคนี้ก็คือการละสายตาจากคอมพิวเตอร์แล้วหันไปมองต้นไม้ใบหญ้าสีเขียว ๆ เพื่อเป็นการผ่อนคลายสายตาทุก ๆ 20 นาที
6. ความสัมพันธ์แย่
มีการศึกษาค้นพบว่าผู้หญิงกว่า 61% ที่ทำงานภายใต้ความเครียดและความกดดันนั้นจะส่งผลลบต่อความสัมพันธ์นอกออฟฟิศ ในขณะที่ฝ่ายชายนั้นมีอัตราที่ความเครียดจะทำลายความสัมพันธ์นอกออฟฟิศสูงถึง 79% เลยเชียว !
7. โรคคาโรชิ
ชื่อบอกยี่ห้อมาก ๆ ว่าได้รับการตั้งชื่อโรคมาจากแดนปลาดิบ แต่ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษจะหมายถึง Death from Overwork หรือ การเสียชีวิตจากการทำงานหนัก พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำงานหนักจนตาย หรือบ้างานจนตายนั่นเอง และในญี่ปุ่นแล้ว อัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ค่อนข้างสูงมาก ดูได้จากข่าวพนักงานชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ ที่เคยเกิดขึ้นบ่อย ๆ โดยบางคนนั่งรถไฟกลับบ้านอยู่ดี ๆ ก็เสียชีวิตเอาดื้อ ๆ ทางการแพทย์จึงฟันธงว่า สาเหตุการเสียชีวิตน่าจะมาจากโรคคาโรชินี่แหละ ที่เกิดจากการทำงานหนักมาก ๆ จนร่างกายทนต่อไปไม่ได้
นอกจากนี้ คนบ้างานหลาย ๆ คนก็อาจยังไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคคาโรชิแล้วด้วยนะคะ ที่สำคัญเมื่อทำงานหนัก เครียดจากงานก็ไปดื่มแอลกอฮอล์ หรือกินไม่ยั้งเพื่อคลายเครียด ทำให้อาจพักผ่อนไม่เพียงพอ เสี่ยงโรคไขมันอุดตัน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคมะเร็ง แม้กระทั่งอัมพาต จนอาจโบกมือลาโลกใบนี้ไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวในที่สุด
ฉะนั้นคนที่ทำงานหนักแบบหามรุ่งหามค่ำ เราอยากให้ทำความรู้จักกับโรคคาโรชิ ไว้สักหน่อย ก่อนพลาดป่วยด้วยโรคนี้ไป
เห็นไหมว่าการโหมทำงานอย่างหนักไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นอย่างที่คาดฝันไว้เสมอไป แต่อาจนำพาสุขภาพพัง ๆ มาถึงเราได้ และหากรู้ตัวว่าบ้างานหนักมาก ก็มาลองเช็กอาการด้วยว่าเรามีความเสี่ยงจะป่วยด้วยโรคต่าง ๆ มากน้อยแค่ไหน โดยเช็กได้จากนี่เลย
สัญญาณนี้แหละใช่ ทำงานหนักเกินไปแล้วชัวร์ ๆ
- ปวดเมื่อยตามตัว โดยเฉพาะบริเวณหลัง ไหล่ ท้ายทอย สายตา ปวดศีรษะ และข้อมือ
- มีอาการตาพร่ามัว มองเห็นภาพเบลอ โดยเฉพาะหลังจากนั่งทำงานไปแล้วสักพักใหญ่ ๆ
- แค่ขยับก็รู้สึกเจ็บ เพราะเกิดอาการเอ็น ข้อ ยึด จากการนั่งติดเก้าอี้เป็นเวลานาน ๆ
- หมดพลัง เหมือนไร้เรี่ยวแรงจะลุกไปไหน
- ให้ความสนใจแต่เรื่องงาน คิดอะไรก็เป็นเรื่องงานไปซะหมด
- บ้างานซะจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว คนใกล้ตัว หรือแม้แต่ตัวเอง
- มักจะหอบงานกลับมาทำที่บ้านด้วยเสมอ ๆ
- ทำงานจนดึก และมักจะอดนอนเป็นประจำ
- อยู่ว่าง ๆ ก็เช็กอีเมลเรื่องงานเป็นประจำ ไม่เว้นแม้แต่ตอนพักผ่อนอยู่ที่บ้าน
- พกมือถือของบริษัทติดตัวตลอด หรือมักจะคอยฟังเสียงโทรศัพท์เพราะคิดว่าอาจมีคนติดต่อเรื่องงานเข้ามา
- คอยสอดส่องข่าวสารเกี่ยวกับหน้าที่การงาน และมักจะเป็นคนแรก ๆ ที่ได้ข่าวสารเรื่องงานก่อนใคร ๆ
- ยอมใช้สมาร์ทโฟนเพื่อจะได้ติดต่อเรื่องงานอย่างสะดวกมากขึ้น นอกจากนั้นก็แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์จากแอพพลิเคชั่นอื่น ๆ เลย
- สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น
- มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ซึ่งอาจเป็นอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเบื้องต้น เช่น อาการปวดศีรษะ ปวดตา หรือเป็นหวัดไม่หายสักที
- มีแนวโน้มดื่มกาแฟมากขึ้นทุกวัน ๆ
- บางคนก็เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวใส่เพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะกับคนที่เราคิดว่าเขาทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพอย่างที่เราคาดหวังไว้
- หงุดหงิดง่ายขึ้น มองอะไรก็ไม่สบอารมณ์ ทุกอย่างดูขวางหูขวางตาไปหมด เพราะเครียดกับงานมากเกินไป
หากเช็กสัญญาณแล้วพบว่าตัวเองมีอาการบ้างานมากเกินไปอยู่หลายข้อ แนะนำว่าให้รีบปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองเสียใหม่ จะได้ไม่เป็นการโหมทำงานหนักเกินไปเพื่อเก็บเงินเอาไว้ใช้ในห้อง ICU หรือหากยังไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงยังไงดี ลองมาดูวิธีเหล่านี้ก่อนเลย
ทำงานอย่างนี้สิดี ไม่เอาเงินที่มีไปจ่ายค่าหมอ
ทำงานเก็บเงินงก ๆ สุดท้ายต้องเอาเงินที่ออมไว้ไปใช้รักษาตัวซะหมด วิถีชีวิตอย่างนี้ไม่ถูกต้องอย่างแรงค่ะ งั้นเอาเป็นว่าเรามาทำงานแบบพอดี ๆ เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามนี้ดีกว่า
1. จัดลำดับความสำคัญของงาน สิ่งไหนควรทำก่อน-หลัง และอย่าคิดไปเองว่าทุกอย่างสำคัญเท่ากันหมด
2. ยืดเส้นยืดสายบ้าง เมื่อรู้สึกตัวว่านั่งทำงานติดต่อกันเกิน 1 ชั่วโมง ให้ลุกไปเดินเล่นหรือเข้าห้องน้ำสักหน่อย ทว่าหากไม่คุ้นกับการพักเบรก ลองตั้งนาฬิกาปลุกไว้เตือนให้ลุกเลย
3. พยายามละสายตาจากหน้าจอคอมพ์ ให้ได้ทุก 20 นาที เพื่อพักสมองและพักสายตาไปในตัว
4. เที่ยงปุ๊บลุกปั๊บ ปิดคอมฯ เก็บงาน แล้วไปพักเบรกข้างนอก
5. เลิกงานตรงเวลา อย่าแคร์ว่าใครจะหาว่าเรารีบกลับบ้าน และบอกบอสไปว่าแค่เลิกงานตรงเวลา สุขภาพก็ดีขึ้นทันตาอย่างเห็นได้ชัด !
6. พยายามอย่าเอางานกลับไปทำที่บ้าน
7. แบ่งเวลาชีวิตให้เหมาะสม เวลางานคืองาน เวลาพักต้องพัก และหาเวลาไปผ่อนคลายบ้าง
8. ไปเที่ยวบ้าง อย่าลืมว่ามีสิทธิ์ลาพักร้อน พาตัวเองออกห่างจากงานสักพักอย่างน้อยปีละครั้งก็ยังดี
9. ปฏิเสธเสียบ้าง อย่าหอบเอางานมาไว้บนบ่ามากเกินไป หากงานเต็มไม้เต็มมืออยู่แล้ว คุณก็มีสิทธิ์เซย์โนกับงานชิ้นใหม่นะ
10. ตั้งเป้าหมายงานในแต่ละสัปดาห์ เคลียร์ให้เสร็จเป็นอย่าง ๆ ลดภาระงานในแต่ละวันได้บ้างก็ยังดี
11. หาวิธีคลายเครียดเมื่อรู้สึกเครียด อย่าง 40 วิธีคลายเครียด สลัดทิ้งให้เกลี้ยง แค่ 5 นาทีก็เอาอยู่ อย่างนี้เป็นต้น
12. ยืดหยุ่นซะบ้าง หากทำเต็มที่แล้วจริง ๆ งานไหนที่นอกเหนือความสามารถในการจัดการบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นไร อย่ากดดันตัวเองมากไป
13. หาเวลาไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
14. พักผ่อนให้เพียงพอ เลิกกันทีกับการทำงานจนดึกดื่นแทบทุกวัน
15. หาเวลาว่างเคลียร์ตัวเองสักหน่อย ทั้งจัดโต๊ะทำงานใหม่ เคลียร์อีเมลเก่า ๆ หรือเอกสารที่รกรุงรังเต็มไปหมด แค่นี้ก็จะช่วยให้งานดูเบาลงเยอะแล้ว
แม้ว่างานคือเงิน ต่อยอดชีวิตของเราให้มีต้นทุนในการจับจ่ายใช้สอย ทว่าอย่าให้เงินเป็นงานซะหมดดีกว่า เพราะอย่างที่บอกล่ะค่ะ หากมุ่งทำงานเก็บเงินจนลืมดูแลสุขภาพของตัวเอง คงไม่พ้นต้องนำเงินที่หามาได้ไปรักษาตัวเมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยแน่ ๆ ฉะนั้นมีชีวิตเดียวก็ควรต้องใช้ให้คุ้มทุก ๆ ด้านจริงไหม ?
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
goodhousekeeping
MENSXP
wikihow
lifehacker
jobsDB