ทำความรู้จัก ดาวเรือง และวิธีการปลูกดอกดาวเรืองให้เหลืองสะพรั่ง ดอกไม้สีเหลือง ความหมายดี ที่ควรปลูกในบ้าน
ดอกดาวเรือง ถือเป็นดอกไม้มงคล ที่เชื่อกันว่าจะนำพาโชคลาภมาให้แก่คนในบ้าน อีกทั้งยังเป็นดอกไม้สีเหลืองที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากมาย ทั้งปลูกตัดดอกประดับ บูชาพระ ถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จัดสถานที่ แถมยังเป็นพืชเศรษฐกิจช่วยสร้างรายได้ได้อีกต่างหาก ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมก็จะพาทุกคนไปรู้จักกับดอกดาวเรืองให้มากขึ้น ทั้งประวัติที่มา พันธุ์ที่นิยมปลูก ความแตกต่างของดาวเรืองแต่ละสายพันธุ์ วิธีดูแล การเก็บดอก และประโยชน์อีกหลายอย่าง
ดาวเรือง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tagetes spp.
และมีชื่อสามัญว่า Marigolds ส่วนในบ้านเรานั้น ดาวเรือง
มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ดาวเรืองใหญ่ คำปูจู้ และ คำปู้จู้หลวง
มีถิ่นกำเนิดในประเทศในประเทศเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกา
ส่วนในปัจจุบันมีการปลูกกันทั่วโลก ทั้งยังเป็นพืชเศรษฐกิจในหลายประเทศ
ได้แก่ อียิปต์ สเปน และฝรั่งเศส
สำหรับประเทศไทยก็ปลูกกันมากบริเวณภาคเหนือ ภาคกลาง
และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยปลูกเป็นไม้ตัดดอกเพื่อการค้า ไม้กระถาง
และประดับประดาสถานที่ในโอกาสสำคัญต่าง ๆ
เริ่มจากบ่มเมล็ดโดยการผสมพีทมอส ½ ส่วน ต่อเวอร์มิคูไลต์ (Vermiculite) หรือเพอร์ไลต์ (Perlite) ½ ส่วน แคลเซียมซันเฟต 1 ช้อนชา และกระดูกป่น 1 ช้อนชา คลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ลงในกระบะ รดน้ำให้ชุ่มชื้น โรยเมล็ดดาวเรืองลงไป ตามด้วยโรยเวอร์มิคูไลต์ตามอีกชั้นบาง ๆ จากนั้นหุ้มกระบะด้วยพลาสติกแล้วนำไปวางในที่อุ่นแต่ไม่โดนแสงแดด ผ่านไปประมาณ 4-5 วันจะเริ่มงอกเป็นต้นกล้า ในช่วงนี้ให้ถอดพลาสติกออก แล้วนำกระบะไปวางในที่ที่มีแสงประมาณ 5 ชั่วโมงต่อวัน และหมั่นรดน้ำให้ดินชื้น เมื่อต้นเริ่มมีใบแท้ประมาณ 2 ใบ ค่อยย้ายต้นกล้าไปปลูกในกระถาง
ดาวเรืองสามารถเติบโตในทุกสภาพดิน แต่ปลูกในดินร่วนจะให้ผลดีที่สุด หากปลูกในกระถางให้นำดินผสมกับวัสดุเพาะ เช่น ปุ๋ยคอก ขุยมะพร้าว และขี้เถ้าแกลบ ในอัตราดินร่วน 1 ส่วน ต่อวัสดุเพาะ 1 ส่วน วางไว้ในที่โดนแดดโดยตรงและรดน้ำให้ดินชุ่มอยู่เสมอ แต่ไม่ควรรดน้ำเยอะเกินไปจนดินแฉะหรือมีน้ำท่วมขัง สำหรับการปลูกในแปลงควรยกร่องห่างกันประมาณ 3-5 เซนติเมตร แล้วหยอดเมล็ดลงไปให้มีระยะห่างเท่า ๆ กัน จากนั้นกลบด้วยวัสดุเพาะ การรดน้ำในแปลงปลูกให้ดูตามสภาพอากาศและความชุ่มชื้นของดิน บำรุงด้วยปุ๋ยหลังย้ายกล้าประมาณ 1-2 สัปดาห์แรก ส่วนการเก็บดอกนั้น จะเริ่มเก็บได้ประมาณ 60-70 วัน หลังการปลูก
ประโยชน์ดาวเรือง
ดาวเรือง นอกจากจะปลูกประดับสวนเพื่อความสวยงาม ยังตัดดอกมาประดับประดาบ้านและอาคารสถานที่ในช่วงวันสำคัญอีกด้วย อาทิ จัดซุ้มดอกไม้ จัดใส่แจกันตั้งหิ้งพระ ร้อยพวงมาลัยคล้องคอแสดงความยินดีแล้ว สามารถเพาะขายเป็นอาชีพ ทำน้ำมันหอมระเหยเพื่อทำเป็นส่วนผสมผลิตเครื่องสำอางและยา ช่วยในการบำรุงผิด แก้อาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม ฯลฯ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก gardeningknowhow, นิทรรศการงานวิจัย 60 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, puechkaset, prayod
ดอกดาวเรือง ถือเป็นดอกไม้มงคล ที่เชื่อกันว่าจะนำพาโชคลาภมาให้แก่คนในบ้าน อีกทั้งยังเป็นดอกไม้สีเหลืองที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากมาย ทั้งปลูกตัดดอกประดับ บูชาพระ ถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จัดสถานที่ แถมยังเป็นพืชเศรษฐกิจช่วยสร้างรายได้ได้อีกต่างหาก ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมก็จะพาทุกคนไปรู้จักกับดอกดาวเรืองให้มากขึ้น ทั้งประวัติที่มา พันธุ์ที่นิยมปลูก ความแตกต่างของดาวเรืองแต่ละสายพันธุ์ วิธีดูแล การเก็บดอก และประโยชน์อีกหลายอย่าง
นอกจากนี้ยังมีขั้นตอนการปลูกดอกดาวเรืองมาฝากคนที่สนใจ
อยากจะปลูกดาวเรืองหรือดอกไม้สีเหลือง
ให้ทันช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในหลวง รัชกาลที่ 9
เพื่อแสดงความจงรักภักดี และรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
ตามคำเชิญชวนของทางกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์อีกด้วย
ประวัติดาวเรือง
สายพันธุ์ดาวเรือง
สำหรับสายพันธุ์ดาวเรืองที่พบทั่วไปในขณะนี้มี 5 สายพันธุ์ด้วยกันคือ
- ดาวเรืองอเมริกัน (American marigold) : พันธุ์ดาวเรืองที่มีลำต้นสูงประมาณ 10-40 นิ้ว มีดอกขนาดใหญ่ กลีบดอกซ้อนกันแน่น เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-4 นิ้ว สีเหลือง ส้ม ทอง และขาว
- ดาวเรืองฝรั่งเศส (French Marigolds) : พันธุ์ดาวเรืองที่มีลำต้นเตี้ย ดอกเล็ก ออกดอกดีเฉพาะฤดูหนาว หากปลูกในฤดูอื่นจะออกดอกน้อย ลำต้นสูงประมาณ 15-30 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-5 เซนติเมตร สีเหลือง ส้ม ทอง แดง และสีน้ำตาลอมแดง
- ดาวเรืองนักเก็ต (Nugget Marigolds) : ดาวเรืองลูกผสมระหว่างดาวเรืองอเมริกันและดาวเรืองฝรั่งเศส ออกดอกเร็ว ดอกบานเร็ว และอยู่นาน
- ดาวเรืองซิกเน็ต (Signet Marigold) : ดาวเรืองต้นเตี้ย ขนาดดอกเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 1 นิ้ว เพราะมีกลีบดอกเพียงชั้นเดียว นิยมปลูกมาในยุโรป
- ดาวเรืองใบ (Foliage Marigold) : พันธุ์ดาวเรืองที่มีใบสวยงาม ขึ้นเป็นพุ่มแน่น นิยมปลูกประดับในสวน
ลักษณะดาวเรือง
ดาวเรือง เป็นไม้ล้มลุก อายุไม่ถึง 1 ปี ลำต้นมีสีเขียวผิวเกลี้ยงและเป็นสัน ขึ้นแบบตั้งตรง ด้านในมีเนื้ออ่อน ความสูงประมาณ 30-100 เซนติเมตร แตกกิ่งเป็นทรงพุ่มแน่น มีใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่ ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ มีใบย่อยประมาณ 11-17 ใบ ลักษณะคล้ายรูปหอก โคนใบสอบ ปลายใบแหลม ขอบใบหยัก ใบยาวประมาณ 4-11 เซนติเมตร ออกดอกที่ปลายก้าน สีขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ได้แก่ เหลือง ส้ม ทอง ขาว ฯลฯ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-15 เซนติเมตร มีสันเป็นทางยาว 7-13 สัน เมล็ดมีลักษณะแห้ง เป็นสีดำ โคนมนกว้างปลายเรียว
สำหรับสายพันธุ์ดาวเรืองที่พบทั่วไปในขณะนี้มี 5 สายพันธุ์ด้วยกันคือ
- ดาวเรืองอเมริกัน (American marigold) : พันธุ์ดาวเรืองที่มีลำต้นสูงประมาณ 10-40 นิ้ว มีดอกขนาดใหญ่ กลีบดอกซ้อนกันแน่น เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-4 นิ้ว สีเหลือง ส้ม ทอง และขาว
- ดาวเรืองฝรั่งเศส (French Marigolds) : พันธุ์ดาวเรืองที่มีลำต้นเตี้ย ดอกเล็ก ออกดอกดีเฉพาะฤดูหนาว หากปลูกในฤดูอื่นจะออกดอกน้อย ลำต้นสูงประมาณ 15-30 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-5 เซนติเมตร สีเหลือง ส้ม ทอง แดง และสีน้ำตาลอมแดง
- ดาวเรืองนักเก็ต (Nugget Marigolds) : ดาวเรืองลูกผสมระหว่างดาวเรืองอเมริกันและดาวเรืองฝรั่งเศส ออกดอกเร็ว ดอกบานเร็ว และอยู่นาน
- ดาวเรืองซิกเน็ต (Signet Marigold) : ดาวเรืองต้นเตี้ย ขนาดดอกเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 1 นิ้ว เพราะมีกลีบดอกเพียงชั้นเดียว นิยมปลูกมาในยุโรป
- ดาวเรืองใบ (Foliage Marigold) : พันธุ์ดาวเรืองที่มีใบสวยงาม ขึ้นเป็นพุ่มแน่น นิยมปลูกประดับในสวน
ลักษณะดาวเรือง
ดาวเรือง เป็นไม้ล้มลุก อายุไม่ถึง 1 ปี ลำต้นมีสีเขียวผิวเกลี้ยงและเป็นสัน ขึ้นแบบตั้งตรง ด้านในมีเนื้ออ่อน ความสูงประมาณ 30-100 เซนติเมตร แตกกิ่งเป็นทรงพุ่มแน่น มีใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่ ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ มีใบย่อยประมาณ 11-17 ใบ ลักษณะคล้ายรูปหอก โคนใบสอบ ปลายใบแหลม ขอบใบหยัก ใบยาวประมาณ 4-11 เซนติเมตร ออกดอกที่ปลายก้าน สีขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ได้แก่ เหลือง ส้ม ทอง ขาว ฯลฯ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-15 เซนติเมตร มีสันเป็นทางยาว 7-13 สัน เมล็ดมีลักษณะแห้ง เป็นสีดำ โคนมนกว้างปลายเรียว
การปลูกดาวเรืองด้วยเมล็ด
เริ่มจากบ่มเมล็ดโดยการผสมพีทมอส ½ ส่วน ต่อเวอร์มิคูไลต์ (Vermiculite) หรือเพอร์ไลต์ (Perlite) ½ ส่วน แคลเซียมซันเฟต 1 ช้อนชา และกระดูกป่น 1 ช้อนชา คลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ลงในกระบะ รดน้ำให้ชุ่มชื้น โรยเมล็ดดาวเรืองลงไป ตามด้วยโรยเวอร์มิคูไลต์ตามอีกชั้นบาง ๆ จากนั้นหุ้มกระบะด้วยพลาสติกแล้วนำไปวางในที่อุ่นแต่ไม่โดนแสงแดด ผ่านไปประมาณ 4-5 วันจะเริ่มงอกเป็นต้นกล้า ในช่วงนี้ให้ถอดพลาสติกออก แล้วนำกระบะไปวางในที่ที่มีแสงประมาณ 5 ชั่วโมงต่อวัน และหมั่นรดน้ำให้ดินชื้น เมื่อต้นเริ่มมีใบแท้ประมาณ 2 ใบ ค่อยย้ายต้นกล้าไปปลูกในกระถาง
ดาวเรืองสามารถเติบโตในทุกสภาพดิน แต่ปลูกในดินร่วนจะให้ผลดีที่สุด หากปลูกในกระถางให้นำดินผสมกับวัสดุเพาะ เช่น ปุ๋ยคอก ขุยมะพร้าว และขี้เถ้าแกลบ ในอัตราดินร่วน 1 ส่วน ต่อวัสดุเพาะ 1 ส่วน วางไว้ในที่โดนแดดโดยตรงและรดน้ำให้ดินชุ่มอยู่เสมอ แต่ไม่ควรรดน้ำเยอะเกินไปจนดินแฉะหรือมีน้ำท่วมขัง สำหรับการปลูกในแปลงควรยกร่องห่างกันประมาณ 3-5 เซนติเมตร แล้วหยอดเมล็ดลงไปให้มีระยะห่างเท่า ๆ กัน จากนั้นกลบด้วยวัสดุเพาะ การรดน้ำในแปลงปลูกให้ดูตามสภาพอากาศและความชุ่มชื้นของดิน บำรุงด้วยปุ๋ยหลังย้ายกล้าประมาณ 1-2 สัปดาห์แรก ส่วนการเก็บดอกนั้น จะเริ่มเก็บได้ประมาณ 60-70 วัน หลังการปลูก
ประโยชน์ดาวเรือง
ดาวเรือง นอกจากจะปลูกประดับสวนเพื่อความสวยงาม ยังตัดดอกมาประดับประดาบ้านและอาคารสถานที่ในช่วงวันสำคัญอีกด้วย อาทิ จัดซุ้มดอกไม้ จัดใส่แจกันตั้งหิ้งพระ ร้อยพวงมาลัยคล้องคอแสดงความยินดีแล้ว สามารถเพาะขายเป็นอาชีพ ทำน้ำมันหอมระเหยเพื่อทำเป็นส่วนผสมผลิตเครื่องสำอางและยา ช่วยในการบำรุงผิด แก้อาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม ฯลฯ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก gardeningknowhow, นิทรรศการงานวิจัย 60 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, puechkaset, prayod