เทียบ 8 สูตรวัคซีนโควิด 19 ฉีดแบบไหนมีภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนสูงสุด

 

เปิดประสิทธิภาพวัคซีนโควิด 8 สูตร ทั้งฉีด 2 เข็ม และฉีดกระตุ้นเข็ม 3 มาดูกันว่าวัคซีนสูตรไหนรับมือกับโอมิครอนได้ดีกว่ากัน

          หลังจากโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) แพร่ระบาด ก็ทำให้เกิดความกังวลว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ในทั้งยี่ห้อเดียวกันและสูตรไขว้ จะสามารถรับมือต่อสายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่กระจายได้เร็วมาก-น้อยแค่ไหน และผู้ที่ฉีดวัคซีน 2 เข็มไปแล้วจะยังมีภูมิคุ้มกันเหลืออยู่เท่าไรเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง

          ด้วยเหตุนี้ ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ทำการทดสอบภูมิคุ้มกันของวัคซีนต่อไวรัสสายพันธุ์เดลตาและโอมิครอน หลังฉีดวัคซีนมาแล้ว 2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงที่ภูมิคุ้มกันขึ้นมากพอ โดยทดสอบจากวัคซีนที่ใช้ในประเทศไทย 8 สูตร ทั้งหมด 3 ยี่ห้อ คือ ซิโนแวค แอสตร้าเซนเนก้า และไฟเซอร์ ได้ผลการทดสอบต่อไปนี้

สูตรฉีดวัคซีน 2 เข็ม
วัคซีนโควิด

1. ซิโนแวค + แอสตร้าเซนเนก้า (SV+AZ)

  • ระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลตา 201.90
  • ระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 11.63
    เท่ากับว่า ภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน ลดลง 17.35 เท่า

2. แอสตร้าเซนเนก้า + แอสตร้าเซนเนก้า (AZ+AZ)

  • ระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลตา 226.90
  • ระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 23.81
    เท่ากับว่า ภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนลดลง 9.53 เท่า 

3. ไฟเซอร์ + ไฟเซอร์ (PF+PF)

  • ระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลตา 189.40
  • ระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 19.17
    เท่ากับว่าภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนลดลง 9.88 เท่า

4. ซิโนแวค + ไฟเซอร์ (SV+PF)

  • ระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลตา 581.10
  • ระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 21.70
    เท่ากับว่าภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนลดลง 26.77 เท่า

5. แอสตร้าเซนเนก้า + ไฟเซอร์ (AZ+PF)

  • ระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลตา 388.20
  • ระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 21.21
    เท่ากับว่าภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนลดลง 18.3 เท่า
สูตรฉีดวัคซีน 3 เข็ม
วัคซีนโควิด

1. ซิโนแวค + ซิโนแวค + แอสตร้าเซนเนก้า (SV+SV+AZ)

  • ระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลตา 368.10
  • ระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 71.64
    เท่ากับว่าภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนลดลง 5.14 เท่า

2. ซิโนแวค + ซิโนแวค + ไฟเซอร์ (SV+SV+PF)

  • ระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลตา 729.30
  • ระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 282.50
    เท่ากับว่าภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนลดลง 2.58 เท่า

3. แอสตร้าเซนเนก้า + แอสตร้าเซนเนก้า + ไฟเซอร์ (AZ+AZ+PF)

  • ระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลตา 691.10
  • ระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอน 229.90
    เท่ากับว่าภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนลดลง 3.10 เท่า
สรุป ! สูตรไหนป้องกันเดลตา-โอมิครอนได้ดีที่สุด
วัคซีนโควิด

สูตรวัคซีนที่มีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์เดลตามากที่สุด ตามผลการทดสอบ คือ

  1. ซิโนแวค + ซิโนแวค + ไฟเซอร์ : ระดับภูมิคุ้มกันต่อเดลตา 729.30
  2. แอสตร้าเซนเนก้า + แอสตร้าเซนเนก้า + ไฟเซอร์ : ระดับภูมิคุ้มกันต่อเดลตา 691.10
  3. ซิโนแวค + ไฟเซอร์ : ระดับภูมิคุ้มกันต่อเดลตา 581.10
  4. แอสตร้าเซนเนก้า + ไฟเซอร์ : ระดับภูมิคุ้มกันต่อเดลตา 388.20
  5. ซิโนแวค + ซิโนแวค + แอสตร้าเซนเนก้า : ระดับภูมิคุ้มกันต่อเดลตา 368.10
  6. แอสตร้าเซนเนก้า + แอสตร้าเซนเนก้า : ระดับภูมิคุ้มกันต่อเดลตา 226.90
  7. ซิโนแวค + แอสตร้าเซนเนก้า : ระดับภูมิคุ้มกันต่อเดลตา 201.90
  8. ไฟเซอร์ + ไฟเซอร์ : ระดับภูมิคุ้มกันต่อเดลตา 189.40

สูตรวัคซีนที่มีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอนมากที่สุด ตามผลการทดสอบ คือ

  1. ซิโนแวค + ซิโนแวค + ไฟเซอร์ : ระดับภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน 282.50
  2. แอสตร้าเซนเนก้า + แอสตร้าเซนเนก้า + ไฟเซอร์ : ระดับภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน 229.90
  3. ซิโนแวค + ซิโนแวค + แอสตร้าเซนเนก้า : ระดับภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน 71.64
  4. แอสตร้าเซนเนก้า + แอสตร้าเซนเนก้า : ระดับภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน 23.81
  5. ซิโนแวค + ไฟเซอร์ : ระดับภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน 21.70
  6. แอสตร้าเซนเนก้า + ไฟเซอร์ : ระดับภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน 21.21
  7. ไฟเซอร์ + ไฟเซอร์ : ระดับภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน 19.17
  8. ซิโนแวค + แอสตร้าเซนเนก้า : ระดับภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอน 11.63
          จากผลการทดสอบจะเห็นได้ว่า วัคซีนทุกสูตรรับมือสายพันธุ์เดลตาได้ค่อนข้างดี แต่ประสิทธิภาพลดลง 2-26 เท่า เมื่อเจอกับสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งอาจเป็นเพราะโอมิครอนสามารถหลบวัคซีนได้ดีกว่าเดลตา 
          อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีน 2 เข็ม ไม่ว่าจะสูตรไหนยังสามารถป้องกันอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ ขณะที่การฉีดวัคซีนเข็ม 3 เป็นบูสเตอร์โดส จะยิ่งทำให้ค่าภูมิคุ้มกันสูงขึ้นอย่างมาก จึงช่วยลดการติดเชื้อ แพร่เชื้อ และลดอาการเจ็บป่วยรุนแรงรวมทั้งลดอัตราการเสียชีวิตได้มากขึ้น