คุณตาใจบุญ โดนมือดีแอบถอนเงิน 5 ล้านบาท ออกไปจากบัญชี เคยได้บริจาควัด 4 ล้านบาท

ได้มีคุณตาใจบุญท่านหนึ่งวัย 91 ปีเป็นคนจังหวัดชุมพร ได้บริจาคเงินให้กับทางวัดไป 4 ล้านบาทเพื่อนำไปสร้างศาลาการเปรียญ จากนั้นคุณตาก็ได้ปิดบัญชีเก่า แล้วเปิดบัญชีขึ้นใหม่ คุณตาจะไปถอนเอาทำบุญสัก 2 ล้านบาท แต่กับได้พบว่าถูกมือดีแอบถอนเงินออกไปจากบัญชี ธ.ก.ส. จากเงิน 5 ล้านบาท เหลือเงินอยู่เพียงแค่ 3 แสนบาท

เมื่อช่วงเวลา 13.00 น.วันที่ 9 มีนาคม 62 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปพบกับ “นายถน พรหมจันทร์” อายุ 91 ปี อยู่บ้านเลขที่ 56 หมู่ 15 ตำบลท่าข้าม อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร หลังจากที่ได้มีการร้องเรียนว่าเงินในบัญชีธนาคารหายไปกว่า 5 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ธนาคารบ่ายเบี่ยงที่จะตอบไม่ให้คำตอบที่ชัดเจน และก็ได้ร้องเรียนไปที่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง แต่เรื่องนี้ก็กับเงียบหายไป

คุณตาถน วัย 91 ปี ได้กล่าวเล่าความหลังว่า คุณตาได้มีลูก 7 คน เป็นผู้ชาย 5 คน ผู้หญิง 2 คน ส่วนภรรยาได้เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว คุณตามีที่ดินอยู่ในพื้นที่ตำบลรับร่อ และตำบลท่าข้าม อ.ท่าแซะ จำนวน 230 ไร่ ส่วนลูกๆเมื่อได้เติบโตมีครอบครัวตนก็เลยได้แบ่งที่ดินให้ไปทำมาหากินเท่าเทียมกันทุกคน ปัจจุบันตอนนี้ตนมีที่ดินเหลืออยู่ 70 ไร่ ได้ปลูกสวนยางพาราไว้ทั้งหมดได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์มานานกว่า 20 ปีแล้ว โดยคุณตาได้นำเงินที่ขายยางพาราได้ไปฝากเก็บไว้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สาขาท่าข้าม อ.ท่าแซะ เพื่อเป็นเงินออมเก็บไว้ใช้ส่วนตัวและทำบุญยามแก่เฒ่าเพราะไม่อยากรบกวนใครๆปัจจุบันท่านก็ได้มีลูกๆ หลานๆ แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนดูแลท่านที่บ้านอยู่ตลอดเวลา

คุณตาถน ได้กล่าวว่า ในช่วงปลายปี 2559-2560 ตนได้ไปถอนเงินจากบัญชี ธ.ก.ส.สาขาท่าข้าม เป็นเงินที่ได้จากการลงทุนซื้อสลาก ธ.ก.ส.สัญญา 3 ปี จำนวนเงิน 4 ล้านบาทไว้ โดยได้เบิกถอนครั้งละ 1 ล้านบาท รวม 4 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 4 ล้านบาท ได้นำไปมอบให้กับผู้รับเหมาที่ก่อสร้างศาลาการเปรียญรองรับชาวบ้านได้กว่า 200 คน ซึ่งคุณตาได้สร้างแล้วมอบให้กับวัดวังตะเคียน ตำบลท่าข้าม หลังจากถอนเงินหมดคุณตาก็ปิดสมุดบัญชีเงินฝากเล่มนั้นไปด้วยเลย

คุณตาถน ได้กล่าวอีกว่า คุณตาได้มีการเปิดบัญชีเล่มใหม่กับ ธ.ก.ส.สาขาท่าข้าม ใช้ชื่อของคุณตาเองร่วมกับชื่อลูกชายอีกคนไว้เผื่อยามฉุกเฉิน โดยมีเงินจากการขายยางพารา ฝากสะสมไว้เรื่อยๆมาจนมีมากกว่า 2,800,000 บาท และเงินที่ซื้อสลาก ธ.ก.ส.ครบตามสัญญา 3 ปี ได้โอนเข้าบัญชีอีกจำนวน 1,679,890 บาท พร้อมดอกเบี้ยและเงินฝากอื่นๆอีกรวมมากกว่า 5 ล้านบาท และสมุดเงินฝากของคุณตาเป็นผู้เก็บไว้เองอย่างดีที่บ้าน

จนกระทั่งเมื่อกลางปี 2561 คุณตาจะไปถอนเงินจำนวน 2 ล้านบาท เพื่อที่จะนำไปทำบุญสร้างมณฑปให้แก่วัดแหลมยาง ตำบลท่าแซะ อ.ท่าแซะ เมื่อเจ้าหน้าที่ธนาคารได้เอาสมุดบัญชีเงินฝากไปตรวจสอบแล้ว ได้บอกคุณตาว่าได้มีการเบิกถอนเงินไปเกือบหมดแล้วเหลืออยู่เพียง 3 แสนบาทเท่านั้น คุณตาถึงกับตกใจ และบอกว่าที่ผ่านมามีแต่เอาเงินมาฝาก ไม่เคยได้มาถอนเงินออกไปเลยแม้แต่สักครั้งเดียว แต่เจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่าได้มีการเบิกถอนเงินออกไปแล้วจริงๆ ครั้งแรกได้มีถอนเงินออกไปกว่า 3 ล้านบาท ครั้งที่ 2 อีกประมาณ 1 ล้านบาท รวมเงินของคุณตาได้หายไปประมาณ 5 ล้านบาท และเจ้าหน้าที่ก็ไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับคุณตาว่าใครเป็นคนมาเบิกถอนเงินออกไป และถอนออกไปได้อย่างไร

คุณตาถน ก็กล่าวต่ออีกว่า หลังจากนั้นคุณตาได้ไปทำการแจ้งความไว้ที่ สภ.ท่าแซะ แต่ตำรวจก็ได้บอกให้คุณตาไปเอาหลักฐานและสลิปเบิกถอนจากธนาคารมา เมื่อคุณตาไปขอที่ธนาคารเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าให้ไม่ได้ เพราะเอกสารดังกล่าวเป็นความลับของธนาคารไม่สามารถให้ใครไปได้ คุณตาก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไม่เข้าใจเรียนหนังสือจบแค่ ป.4 สมัยก่อนโทรศัพท์ก็ไม่มีใช้ไม่เป็น เจ้าหน้าที่บอกอย่างไรคุณตาก็เชื่อหมด ต่อมาคุณตาก็ได้ไปร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมของจังหวัดชุมพร และได้ร้องเรียนไปที่ทหารที่มณฑลทหารบกที่ 44 จังหวัดชุมพร เรื่องที่เงินหาย แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาสอบถามอะไรเลย มีแต่นายทหารมาบอกกับคุณตาว่าลุงมีเงินอยู่เพียง 4 ล้านบาทเท่านั้นแต่ได้เบิกไปหมดแล้ว ซึ่งคุณตาก็บอกไปว่าเงิน 4 ล้านที่เบิกไปสร้างศาลาการเปรียญนั้น เป็นเงินจากสมุดเงินฝากคนละบัญชีกันกับเงินที่หายไปแต่ก็ไม่เห็นได้ดำเนินการใดๆต่อไปอีก

คุณตาถน ได้กล่าวเพิ่มว่า เมื่อเรื่องร้องเรียนได้ผ่านไปนานหลายเดือนไม่มีอะไรคืบหน้า จนมากระทั่งเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 62 ที่ผ่านมาคุณตาได้เดินทางไปที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดชุมพร เพื่อสอบถามความคืบหน้า เจ้าหน้าที่ได้บอกว่าอยู่ระหว่างในการดำเนินการตรวจสอบ หลังจากคุณตากลับมาบ้านก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าแซะ 4 นาย มาสอบปากคำคุณตาก่อนจะกลับไป

“เงินที่ได้มีการเบิกถอนออกไปจากธนาคาร ได้มีการสอบถามลูกหลานแล้วและทุกคนบอกว่าไม่มีใครรู้เรื่องเลย เมื่อสอบถามจากทางธนาคารเจ้าหน้าที่ก็โยนไปมา ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าใครเป็นคนไปเบิกเงินออก แล้วเบิกถอนไปได้อย่างไร ถึงตอนนี้จะเอาเรื่องและดำเนินคดีความให้ถึงที่สุดไม่ว่าใครก็ตาม หรือแม้แต่ลูกหลานก็ตาม ยืนยันว่าไม่เคยไปเบิกถอนเงินดังกล่าวเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เหตุใดเงินจึงหายไปได้ และธนาคารก็ไม่มีความรับผิดชอบ เพราะเป็นเงินที่เก็บอดออมไว้ใช้ส่วนตัวและทำบุญเป็นที่พึ่งทางใจยามแก่เฒ่า จึงต้องร้องเรียนต่อสื่ออยากให้ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องช่วยตรวจสอบให้ด้วย”

ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้มีรายงานว่าขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อสอบถามผู้บริหารของ ธ.ก.ส.และหน่วยงานเกี่ยวข้องได้ เนื่องจากเป็นวันเสาร์อาทิตย์หยุดราชการ และถ้าได้ความคืบหน้าและข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวอย่างไร จะติดตามมารายงานให้ทราบต่อไปอีก