Home »
ทั่วไป
»
สวดมนต์อย่างไร ให้ได้ผลและปาฏิหาริย์เกิดขึ้นในชีวิต
สวดมนต์อย่างไร ให้ได้ผลและปาฏิหาริย์เกิดขึ้นในชีวิต
ด้วยอานิสงส์แห่งการสวดมนต์และการได้อัญเชิญพรหมเทพเทวา เจ้ากรรมนายเวร
ดวงจิตวิญญาณทั้งหลายให้มาร่วมสวดหรือให้มาร่วมอนุโมทนาฟังธรรมจากพระพุทธองค์นั้น
หรือชักชวนผู้อื่นร่วมสวดหรือได้ร่วมจัดพิมพ์บทสวดมนต์เพื่อเป็นธรรมทานเป็นมหาบุญกุศลที่ทำจะช่วยดลบันดาลให้บังเกิดโภคทรัพย์
เกิดปัญญา พาหลุดพ้นเวรกรรมบางกรรม
เพราะบุญใหญ่นี้จะทำให้เจ้ากรรมนายเวรให้อโหสิกรรมได้ง่ายและถอนตัวจากอุปสรรคทั้งปวงรวมถึงโรคเวรโรคกรรมทั้งปวง
ชีวิตครอบครัวจะพบแต่ความสุข ความเจริญ การขัดแย้งใดๆ จะยุติลง
ลูกหลานจะเป็นคนดี กิจการการค้าไหลรื่น เงินไหลนองทองไหลมา
การงานที่เคยติดขัดจะคล่องตัวสะดวกขึ้น
บรรพบุรุษจะได้อานิสงส์บุญมากนำไปสู่ภพภูมิที่ดี
ท่านใดได้สวดมนต์ สร้างทาน รักษาศีล ภาวานาเป็นประจำชีวิตจะมีแต่ความสุข
ความอุดมสมบูรณ์ เป็นมหามงคล มั่งคั่ง รุ่งเรืองตลอดกาลนานไปทุกภพทุกชาติ
ครูบาอาจารย์ท่านย้ำว่า
การสวดมนต์จนสามารถเปลี่ยนชีวิตได้อย่างฉับพลันนั้น
ทำได้จริงแต่ต้องรู้วิธีที่ทำให้เกิดขึ้นด้วยและลงมือปฏิบัติจริงและการเผยแพร่บทสวดมนต์เป็นธรรมทานนั้นได้อานิสงส์สูงมาก
ขั้นตอนที่ ๑ สร้างบุญด้วยการทำสมาธิก่อนสวด
การสมาธิเจริญภาวนานั้น ถือเป็นมหาบุญกุศลที่ใหญ่ที่สุดเหนือกว่าทาน
เหนือกว่าศีล เป็นการรวมจิตและ ชำระจิตให้สะอาด
เหมือนภาชนะที่พร้อมจะรองรับสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต
ก่อนที่จะสวดเมื่ออยู่ในท่าที่สบายๆ แล้วให้กราบ 3 ครั้ง
กราบครั้งที่หนึ่งให้จิตเราน้อมลงระลึกพระมหาบุญบารมีของพระพุทธเจ้า
กราบครั้งที่สองระลึกถึง พระธรรมเจ้า กราบครั้งที่สามระลึกถึงพระสังฆเจ้า
นึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระรัตนตรัยทั้งสาม
ที่ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายพบทางสว่าง วิธีดับทุกข์ทั้งปวง
หลังจากนั้นให้นั่งสมาธิสักครู่ พยายามให้จิตระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธรูปที่เรานับถือระลึกได้ในขณะนั่งสมาธิ
ขั้นตอนที่สอง น้อมถวายบุญตั้งจิตอธิษฐาน
หลังจากทำสมาธิแล้ว
ขอให้ตั้งจิตให้มั่นแล้วอุทิศบุญในการทำสมาธินี้และรวมบุญทั้งหมดที่เคยทำนั้น
น้อมถวายพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า
โมทนาพระคุณความดีของครูบาอาจารย์
ผู้เป็นเจ้าของคาถาและมนตราศักดิ์สิทธิ์นั้น
เป็นการเชื่อมบุญกันในอีกรูปแบบหนึ่ง ขอมีส่วนร่วมในบุญของท่าน
และขอมีส่วนร่วมในบุญของผู้สวดคนอื่นที่สวดคาถาและมนตราศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย
เมื่อใดก็ตามที่มีคนอื่นสวดและกระทำเหมือนกับเรา เราจะได้บุญเพิ่มทุกครั้ง
ขั้นตอนที่สาม สวดมนต์แบบสวดทั้งหัวใจและเข้าใจ
ในเวลาที่เราเริ่มสวดมนต์ ควรเตรียมจิตให้มั่นคง
อานิสงส์จะมากหรือน้อยนั้น อยู่ที่จิตมีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม
และพระอริยสงฆ์จริงแค่ไหน และเวลาสวด สวดด้วยความเคารพจริง
ถึงสวดน้อยก็มีอานิสงส์ใหญ่
ถ้าสวดว่าเรื่อยเปื่อยไปไม่ได้ตั้งใจจิตไม่จดจ่อมีพลัง
เป็นการสวดมากแต่อานิสงส์น้อย ควรเอาคุณภาพดีกว่าปริมาณ
ขณะสวดวางสติให้จดจ่ออยู่กับการพิจารณาตัวอักขระ
ให้รู้ว่าอักขระหรือตัวหนังสือที่เรากำลังสวดนั้นคือตัวอะไร
หากรู้คำแปลจะดีมากเพราะ การสวดมนต์โดยรู้คำแปลจะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด
คือ ทำให้เกิดปัญญา แต่หากยังแปลไม่ออก ก็ไม่เป็นไร
ให้สวดด้วยใจที่เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์อย่างสูงสุด
ในการสวดมนต์นั้นขึ้นอยู่กับจิต หากจิตเรานิ่งจะสวดนานแค่ไหนก็ได้
หากครบทุกบทที่ตั้งใจก็จะดี บทสวดที่จะสวดนั้นให้พิจารณาว่า
เราปรารถนาในเรื่องใดก็เลือกบทสวดนั้นโดยเฉพาะ อำนาจ วาสนา โชคลาภบารมี
เจ็บป่วย แคล้วคลาด ฯลฯ
แต่ถ้าจิตไม่นิ่งสับสน ขอให้หยุดพักจิตสักครู่แล้วสวดใหม่ได้
การฝึกจิตให้มีกำลังในการอดทนในการสวดมนต์ถือว่าเป็นเรื่องดี ควรอดทนทำ
เหมือนกับคนเล่นกล้ามที่ยกตุ้มน้ำหนักบ่อย
จากที่ใช้แบบมีน้ำหนักน้อยๆไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ
จนในที่สุดใช้ตุ้มแบบหนักมากได้เพราะมีกำลังมากขึ้น
ครูบาอาจารย์ท่านจึงสอนเสมอว่า หากจิตมีพลังสวดแค่หนึ่งพระคาถาหรือหนึ่งตัวอักษรก็เปลี่ยนชีวิตได้
ขั้นตอนสุดท้าย สวดมนต์เสร็จควรทำสมาธิอีกครั้งและแผ่เมตตา
เมื่อสวดมนต์เสร็จให้กลับมาทำสมาธิอีกครั้ง อาจจะนานกว่าในก่อนสวด
อยู่ในสมาธิจนรู้สึกว่าจิตนิ่งดีแล้ว ในช่วงสุดท้ายก่อนอออกจากสมาธิ
ขอให้เพิ่มบุญใหญ่ด้วยการพิจารณาเรื่องการเกิด แก่ เจ็บตาย
อันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก
รู้ว่าเรามาจากดิน น้ำ ลม ไฟ
อากาศธาตุเมื่อถึงเวลาก็ต้องสูญสลายกลับคืนไปไม่มีเหลือ
หรือให้จิตใคร่ครวญพิจารณาเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตที่กำลังก่อให้เกิดทุกข์
มองค้นหาถึงสาเหตุที่แท้จริงและการที่จะแก้ไขได้ มีเกิดขึ้น
ตั้งอยู่แล้วก็ต้องดับไปไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ใจก็เป็นสุข
ได้ถอดถอนจากกิเลส ลดความอยากได้ อยากมีออกไปในชีวิตได้
ในการพิจาณานี้ถือว่าเป็นการเจริญวิปัสสนา
ซึ่งเป็นมหาบุญกุศลและมีประโยชน์มากในชีวิตของคนเรา
การทำสมาธิในเบื้องต้นเพื่อให้จิตนั้นนิ่งมีกำลังเราเรียกว่า “สมถกรรมฐาน”
หรือสมาธิภาวนา คือการฝึกจิตให้เกิดความสงบ
ที่เราเรียกกันตามประสาชาวบ้านว่าการทำ “สมาธิ”
แต่เมื่อนิ่งแล้วต้องเอาจิตนั้นมาพิจารณาให้เกิดประโยชน์กับตัวเราเองเป็นการ
“เจริญวิปัสสนากรรมฐาน”
การเจริญวิปัสสนาเป็นการกระทำที่จะได้มหาบุญกุศลที่สุดและคลายวิบากกรรมได้ดีที่สุดด้วย
เพราะเป็นการชำระจิตให้หมดกิเลสไม่ให้กรรมมาตามส่งผลอีก
เมื่อได้ทำสมาธิจนสมควรแก่เวลาเมื่อจะออกจากสมาธิ ให้ทำใจให้อภัย
ให้อโหสิกรรมให้กับเจ้ากรรมนายเวร คนที่ทำให้เราขุ่นข้องหมองใจ
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม สัตว์ก็ตาม เมื่อให้อโหสิกรรมเสร็จแล้ว
ให้อธิษฐานและแผ่เมตตาตามที่เราปรารถนา
ขอบุญรักษา
ขอบคุณที่มา ธ.ธรรมรักษ์