แนะนำการใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9
ในด้านอาหารการกิน เพื่อสุขภาพที่ดี
และเห็นคุณค่าของอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน
2. ไม่กินทิ้งกินขว้าง ต้องคำนวณให้ดีในการซื้อแต่ละครั้ง เพราะหากซื้อมากเกินไป กินไม่หมด ก็ทำให้เราเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์
3. อาหารที่มีคุณค่าราคาถูก อาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาจใช้เต้าหู้ หรือถั่วเมล็ดแห้งผสม ซึ่งมีโปรตีนและใยอาหารสูง หรือเลือกกินปลาน้ำจืดสลับกับปลาทะเล และกินผักผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม โดยเลือกเป็นผักผลไม้พื้นบ้าน ที่หาได้ง่ายและราคาถูก รวมไปถึงการกินไข่ ที่ให้โปรตีนคุณภาพดี ราคาไม่แพงแถมได้สุขภาพดีอีกด้วย
4. กินผลไม้แทนขนมหวาน ควรเลือกผลไม้ที่มีตามฤดูกาล เนื่องจากหาซื้อง่าย ราคาถูก ที่สำคัญคือร่างกายได้รับใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แทนความหวานและไขมันจากน้ำตาล และกะทิในขนมหวาน
5. ลดการกินจุบจิบ ของกินส่วนใหญ่ที่นอกเหนือจากผักผลไม้ที่เรากินแล้ว บางชนิดก็ยังให้พลังงานเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ จนทำให้เกิด ภาวะอ้วนลงพุงได้ และไม่ควรกินวันละหลายๆ มื้อ เพราะหากติดเป็นนิสัยแล้วผลที่ตามมาคือ ภาวะโรคอ้วน
6. ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด เพราะดื่มเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน สิ่งสำคัญคือต้องเลือกน้ำสะอาด เพราะน้ำจะช่วยให้ร่างกายขับของเสียออกมาทางเหงื่อ หรือปัสสาวะ และยังช่วยลดอาการอ่อนเพลียของร่ายกายได้
7. กินอาหารไทย เพราะอาหารไทยเลือกใช้วัตถุดิบภายในประเทศ คุณค่าทางอาหารถือว่าครบถ้วนใน 1 เมนู และถือว่าเป็นการช่วยเศรษฐกิจชาติอีกด้วย
8. ลดการสั่งอาหารราคาพิเศษ เช่น เพิ่มข้าว เพิ่มกับข้าว แต่กินไม่หมด จึงสิ้นเปลืองทั้งเงินและเสียดายอาหารที่เหลือด้วย
9. งดกินอาหารมื้อดึก เมื่อกินอาหารแล้วเข้านอนทันที ทำให้ร่างกายไม่ได้เผาผลาญพลังงาน สะสมเป็นไขมัน จึงทำให้เกิดภาวะอ้วนได้
10. เคี้ยวอาหารช้าๆ อย่ารีบร้อน เพราะการเคี้ยวอาหารแบบช้าๆ จะทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว ลดปัญหาของระบบย่อยอาหาร และการกินอาหารแบบเร่งรีบจะทำให้เราจุกและกินอาหารมากขึ้นกว่าเดิม
11.การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แทนนมผง ซึ่งการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นอกจากจะมีสารอาหารครบถ้วน ปกป้องลูกน้อยจากโรคภัยต่างๆ แล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อนมผงได้อีกด้วย
ที่มา: ชมนภัส วังอินทร์ เรียบเรียงจากหนังสือ กินดีมีสุขในยุคเศรษฐกิจพอเพียง โดย สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
11 วิธี กินอย่างพอเพียง
1. กินพออิ่ม ควรกินแค่พออิ่มในแต่ละมื้อ โดยตักอาหารที่พอดีจนเกิดเป็นนิสัย ไม่เยอะจนเกินไป2. ไม่กินทิ้งกินขว้าง ต้องคำนวณให้ดีในการซื้อแต่ละครั้ง เพราะหากซื้อมากเกินไป กินไม่หมด ก็ทำให้เราเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์
3. อาหารที่มีคุณค่าราคาถูก อาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาจใช้เต้าหู้ หรือถั่วเมล็ดแห้งผสม ซึ่งมีโปรตีนและใยอาหารสูง หรือเลือกกินปลาน้ำจืดสลับกับปลาทะเล และกินผักผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม โดยเลือกเป็นผักผลไม้พื้นบ้าน ที่หาได้ง่ายและราคาถูก รวมไปถึงการกินไข่ ที่ให้โปรตีนคุณภาพดี ราคาไม่แพงแถมได้สุขภาพดีอีกด้วย
4. กินผลไม้แทนขนมหวาน ควรเลือกผลไม้ที่มีตามฤดูกาล เนื่องจากหาซื้อง่าย ราคาถูก ที่สำคัญคือร่างกายได้รับใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แทนความหวานและไขมันจากน้ำตาล และกะทิในขนมหวาน
5. ลดการกินจุบจิบ ของกินส่วนใหญ่ที่นอกเหนือจากผักผลไม้ที่เรากินแล้ว บางชนิดก็ยังให้พลังงานเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ จนทำให้เกิด ภาวะอ้วนลงพุงได้ และไม่ควรกินวันละหลายๆ มื้อ เพราะหากติดเป็นนิสัยแล้วผลที่ตามมาคือ ภาวะโรคอ้วน
6. ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด เพราะดื่มเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน สิ่งสำคัญคือต้องเลือกน้ำสะอาด เพราะน้ำจะช่วยให้ร่างกายขับของเสียออกมาทางเหงื่อ หรือปัสสาวะ และยังช่วยลดอาการอ่อนเพลียของร่ายกายได้
7. กินอาหารไทย เพราะอาหารไทยเลือกใช้วัตถุดิบภายในประเทศ คุณค่าทางอาหารถือว่าครบถ้วนใน 1 เมนู และถือว่าเป็นการช่วยเศรษฐกิจชาติอีกด้วย
8. ลดการสั่งอาหารราคาพิเศษ เช่น เพิ่มข้าว เพิ่มกับข้าว แต่กินไม่หมด จึงสิ้นเปลืองทั้งเงินและเสียดายอาหารที่เหลือด้วย
9. งดกินอาหารมื้อดึก เมื่อกินอาหารแล้วเข้านอนทันที ทำให้ร่างกายไม่ได้เผาผลาญพลังงาน สะสมเป็นไขมัน จึงทำให้เกิดภาวะอ้วนได้
10. เคี้ยวอาหารช้าๆ อย่ารีบร้อน เพราะการเคี้ยวอาหารแบบช้าๆ จะทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว ลดปัญหาของระบบย่อยอาหาร และการกินอาหารแบบเร่งรีบจะทำให้เราจุกและกินอาหารมากขึ้นกว่าเดิม
11.การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แทนนมผง ซึ่งการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นอกจากจะมีสารอาหารครบถ้วน ปกป้องลูกน้อยจากโรคภัยต่างๆ แล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อนมผงได้อีกด้วย
ที่มา: ชมนภัส วังอินทร์ เรียบเรียงจากหนังสือ กินดีมีสุขในยุคเศรษฐกิจพอเพียง โดย สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข