รู้หรือไม่ ชาวอเมริกันที่ร่ำรวย มีชีวิตอยู่ได้ยาวนานกว่าคนที่ยากจน

คนรวยอยู่ได้นานกว่าคนจน!

เงินอาจไม่สามารถซื้อความสุข แต่อาจช่วยให้คุณซื้อสุขภาพที่ดีและชีวิตที่ยืนยาวได้ในท้ายที่สุด นักวิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความแตกต่างด้านรายได้และผลลัพธ์ด้านสุขภาพในสหรัฐฯ พบว่าช่องว่างด้านสุขภาพระหว่างคนรวยและคนยากจนนั้นมีวงกล้างมากขึ้น และนั่นทำให้เกิดความแตกต่างกันมากขึ้นในระยะเวลาที่พวกเขามีชีวิตอยู่

การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน The Lancet (วารสารการแพทย์) นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Boston University School of Public Health รายงานว่าเปอร์เซ็นต์ของบุคคลที่ร่ำรวยชาวอเมริกันมีชีวิตอยู่โดยเฉลี่ย 10 ถึง 15 ปี ซึ่งนานกว่าคนที่ยากจนที่สุด 1% ตั้งแต่ปี 2544 ผู้ที่มีรายได้น้อยก็แทบไม่มีความอยู่รอดเพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มคนวัยกลางคนและกลุ่มที่มีรายได้สูงมีอัตราการมีชีวิตยาวนานเฉลี่ยประมาณสองปี

ซึ่งความยากจนมักถูกเชื่อมโยงกับภาวะสุขภาพที่ย่ำแย่ เพราะบุคลคนในกลุ่มที่มีรายได้ต่ำมักจะไม่สามารถดูแลสุขภาพได้มากนัก และมีแนวโน้มที่เกิดพฤติกรรมแย่ๆที่เป็นผลเสียต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ การกินอาหารจังค์ฟู้ด ซึ่งนักวิจัยกล่าวว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ อัตราความยากจนได้เพิ่มมากขึ้น พร้อมกับโรคอ้วนและโรคเรื้อรังต่างๆ อย่างเช่น โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อการเสียชีวิตได้ในช่วงอายุไม่มาก

วัฏจักรนี้จะเริ่มย่ำแย่ลงด้วยเหตุผลหลายประการ ตัวอย่างเช่น คนจนมักไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ประโยชน์จากความคุ้มครองด้านสุขภาพ ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลในรูปแบบของ Medicare (ประกันสุขภาพฟรี) เนื่องจากพวกเขามีแนวโน้มที่จะมีอายุเกินกำหนดเกณฑ์ที่จะได้รับสิทธิเหล่านั้น
Jacob Bor ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านสุขภาพระดับโลกจากมหาวิทยาลัยบอสตัน กล่าวว่า “ชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่ำ มีโอกาสที่จะถูกละเลยในเรื่องของการบริการด้านสุขภาพมากขึ้น”

“หากช่องว่างในเรื่องของรายได้ยังคงขยายตัวต่อไป ความแตกต่างด้านสุขภาพระหว่างคนรวยกับคนจนก็จะเพิ่มมากขึ้น พวกเขาคาดการณ์ว่าในยุคนี้ ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนยากจนนั้นมีมากถึง 20% หากไม่มีการยื่นมือเข้าไปแก้ไขในเรื่องของความไม่เท่าเทียมกันในสังคม เราอาจเห็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในศตวรรษที่ 21 และความไม่เสมอภาคทางสุขภาพ ซึ่งเป็นรากเหง้าของความไม่เสมอภาคในสังคม”

ที่มา  https://www.health-th.com/