ทำทานกับใครจะได้บุญมาก
ทำทานกับใครจะได้บุญมาก ?
พระพุทธเจ้า มีพระดำรัสตรัสไว้ใน เรื่องของเนื้อนาบุญว่า
แม้วัตถุทานที่มีความบริสุทธิ์ เจตนาทำทานก็บริสุทธิ์, อาการแห่งการให้ทานนั้นจะดีเยี่ยม แต่ผลบุญของความบริสุทธิ์จะเกิดขึ้นได้
มากน้อยขึ้นอยู่กับ “เนื้อนาบุญ”ตามลำดับของผู้รับอันได้แก่
การให้ทานแก่เหล่าสัตว์เดรัจฉาน,มนุษย์ผู้ไม่มีศีล, มนุษย์ผู้มีศีล 5,
มนุษย์ผู้มีศีล 8,สามเณร,พระภิกษุที่เป็นสมมติสงฆ์, พระภิกษุที่
เป็นพระเถระชั้นอริยสงฆ์โสดาบัน,พระสกิทาคามี,พระอนาคามี,พระอรหันต์,พระปัจเจกพุทธเจ้า,และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามลำดับ
การที่พระองค์จัดลำดับไว้อย่างนี้เพราะว่า
การทำทานหากได้ทำให้กับผู้รับที่ยิ่งมีความบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ผู้ให้ก็ยิ่งมีความรู้สึกอิ่ม
เอิบใจและเป็นสุขมากเท่านั้น
สมัยเมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาได้เสด็จขึ้นไปบนสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพระพุทธมารดา พระองค์ได้ประทับอยู่ที่
“บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์” ในเวลานั้นมีเทวดา 2 ท่านมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าก่อนคนอื่นทั้งหมด ยกเว้นไว้แต่พระอินทร์ หรือท่านท้าว
สักกะเทวราช พระอินทร์นั้นท่านเป็นเจ้าภาพเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในสวรรค์ชั้นนี้ท่านจึงรับเสด็จอยู่ก่อน
มีเทวดาองค์หนึ่งมาเข้าเฝ้า นามว่าท่าน “อินทกเทพบุตร” (อิน-ทะ-กะ) มานั่งอยู่ข้างๆเบื้องขวาที่พระบาทของพระพุทธองค์ และ
ท่านเทวดาอีกตนชื่อ “อังกุระเทพบุตร” มานั่งข้างเบื้องซ้ายของพระบาทเช่นกัน
สักพักก็มีเหล่าเทวดามากันมากมายหมดทั้งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ลงมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกันทั้งหมดโดยที่ ท่านอินทกเทพบุตร
ได้นั่งอยู่ตรงที่เดิม ส่วนท่านอังกุระเทพบุตรต้องถอยไปอยู่ท้ายสุดของเหล่าเทวดา ต้องนั่งอยู่ริมนอกเพราะเป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่
สุดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ทรงถามท่านอังกุรเทพบุตร (โดยท่านบันดาลให้เสียงท่านและเสียงเทวดาที่พูดกันได้ยินถึง
คนที่คอยท่านอยู่ที่เมืองพาราณสีที่เมืองมนุษย์โดยที่คนทุกคนได้ฟังอย่างชัดเจน ) พระพุทธองค์ทรงตรัสถามว่า
“อังกุระ” เมื่อสมัยเมื่อตถาคต ขึ้นมาสวรรค์ใหม่ๆ มาถึงใหม่ เธอนั่งใกล้ ข้างขาข้างซ้าย เวลานี้เทวดาทั้งหลายมากันครบถ้วนแล้ว
แต่ว่าเธอกลับต้องมานั่งอยู่ท้ายผู้อื่น ตถาคตอยากจะทราบว่าในสมัยที่เธอเป็นมนุษย์ เธอทำบุญอะไรไว้จึงได้เป็นเทวดาที่มีบุญน้อย
ที่สุดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แห่งนี้
ท่านอังกุระเทพบุตร จึงได้กราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
“ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ในสมัยที่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์นั้น เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์มาก ใน
สมัยนั้นเป็นต้นกัป มนุษย์มีอายุยืนยาวมากอายุถึง 80,000 ปีจึงจะสิ้นอายุไข ต่อมาสมัยที่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นคนแก่มีชีวิตเหลืออีก
20,000 ปีจึงจะสิ้นอายุ จึงได้ให้บริวารตั้งโรงทานเอาไว้ 80 แห่ง คือ 1 โยชน์ 1 แห่ง
โรงทานนี้มีไว้บริจาคทานให้แก่ คนกำพร้า,คนเดินทาง ทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งอาหารการบริโภค เสื้อผ้า ของใช้ตามสมควร แต่
ว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ว่างจากพระพุทธศาสนา คนไม่มีศีลไม่มีธรรมมีอยู่เป็นจำนวนมากเพราะไม่มีพระพุทธเจ้าทรงสอน บุญที่ได้
จึงน้อยเกินไป
เศรษฐีอังกุระต้องลงทุนมากยาวนานถึง 20,000 ปี ตั้งโรงทาน 80 แห่ง เลี้ยงคนไม่จำกัดเขาต้องใช้เงินวันละเท่าไร และผู้ที่รับทาน
ก็เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ท่านผู้ให้อย่างอังกุระก็ไม่ค่อยจะมีความบริสุทธิ์นักเวลานั้น คือมีศีลธรรมน้อยเกินไปเป็นของธรรมดาของชาวโลก
วัตถุทานที่ได้มาก็เข้าใจว่าไม่ค่อยจะบริสุทธิ์ ฉะนั้นเวลาต า ยจากความเป็นมนุษย์ จึงมาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาที่มีบุญ
น้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้เองเมื่อข้าพระพุทธเจ้ามาถึงใหม่ๆ ได้นั่งใกล้พระองค์แต่ในที่สุด ก็ต้องมานั่งท้ายผู้อื่น
เพราะบุญมีไม่เท่าเทวดาทั้งหลาย
หลังจากนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสถาม ท่านอินทกเทพบุตร ว่า
“อินทกะ เมื่อตถาคต มาถึงใหม่ๆ เธอมาถึงแล้ว ก็นั่งตรงนี้เวลานี้ เทวดาทั้งหลายมาหมดสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว เธอก็ยังได้นั่งอยู่ตรง
นี้ตถาคตอยากจะทราบว่า ในสมัยที่เป็นมนุษย์เธอสร้างความดี คือบุญกุศลอะไรไว้
เธอจึงเป็นเทวดาที่มีศักดาใหญ่รองลงมาจากพระอินทร์”
ท่านอินทกเทพบุตรจึงกราบทูลสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
“ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า การที่ข้าพระพุทธเจ้าสมัยยังเป็นมนุษย์นั้นนับได้ว่าเป็นคนที่จนที่สุด
หมายความว่าเป็นคนจนมากต้องอาศัยอยู่ในป่าต่อมาท่านพ่อต า ยเหลือแต่ท่านแม่ ข้าพเจ้าก็มีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่เลี้ยงแม่ด้วย
การตัดฟืน เหนื่อยยากลำบากขนาดไหนก็ไม่สนใจ สนใจอย่างเดียวว่าทำอย่างไรแม่จึงจะมีความสุขตามกำลังที่จะให้ท่านได้”
ท่านเทพบุตรอินทกะก็เล่าต่อไปว่า
“ข้าพเจ้าอยู่มาวันหนึ่งมีพระสงฆ์ใน พระพุทธศาสนาเดินทางมาก็เป็นเวลาที่พอดีมีอาหารอยู่บ้าง ตามฐานะของคนจน ยามปกติไม่มี
ของบางครั้งพระมาก็ไม่มีอะไรจะถวาย ก็เลยต้องจำใจนิ่งไว้ เพราะอยากจะถวาย วันนั้นพอดีของในครัว พอมีอยู่บ้างพระท่านก็มาพอ
ดี จึงมีโอกาสได้อาราธนาพระ ถวายเป็นสังฆทานได้ครั้งเดียวในชีวิต
ในชีวิตของข้าพระพุทธเจ้า เป็นคนจนแม้ถวายสังฆทานครั้งเดียวแต่ก็มีความกตัญญูรู้คุณกับแม่ด้วย พอต า ยจากความเป็นคน จึงได้
มาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาที่มีอานุภาพมากกว่าเทวดา อื่นๆ รองจากพระอินทร์”
ท่านอังกรุเทพบุตรทำบุญมากแต่ว่ามีอานิสงส์แห่งบุญน้อย แต่ท่านอินทกเทพบุตร ทำบุญน้อยแต่มีอานิสงส์มาก เรื่องนี้มีมากในพระ
พุทธศาสนาฉะนั้นการบำเพ็ญกุศลใด ๆก็ตาม เจตนาแห่งการให้
และเนื้อนาบุญผู้รับจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดผลบุญบารมี