Home »
ทั่วไป
»
เปิด "โรงเรียนเจ้าสัว" แหล่งผลิต "มหาเศรษฐี" มากที่สุดในไทย! ค่าเล่าเรียนเทอมละ 3 บาท!
เปิด "โรงเรียนเจ้าสัว" แหล่งผลิต "มหาเศรษฐี" มากที่สุดในไทย! ค่าเล่าเรียนเทอมละ 3 บาท!
สถานศึกษาในวัยเด็ก ถือเป็นความภาคภูมิใจที่จะอยู่ติดกับเราไปทุกช่วงชีวิต เพราะเป็นแหล่งประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้
จุดเริ่มต้นของการรวบรวมสังคมของเพื่อนร่วมรุ่น ผนึกอยู่ในความทรงจำ
เพื่อให้ได้หวนนึกถึงวันที่เราประสบความสำเร็จในภายภาคหน้า
และสำหรับโรงเรียนที่มีชื่อเสียงว่าเป็น “ถิ่นเจ้าสัว” รวบรวมมหาเศรษฐีระดับประเทศไว้ด้วยกันหลายท่าน คงต้องยกให้ “โรงเรียนเผยอิง” เปิดรับเฉพาะนักเรียนชายเข้ามาศึกษาเล่าเรียน
โรงเรียนสอนภาษาจีนสำเนียงแต้จิ๋ว
โรงเรียนป้วยเอง (สำเนียงแต้จิ๋วของชื่อเผยอิง) ก่อตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่
6 โดย พระอนุวัฒน์ราชนิยม (แต้ตี้ย้ง) นายบ่อนหวย กข
อย่างถูกต้องตามกฎหมาย บริจาคทุนร่วมกับบรรดาพ่อค้าชาวจีนหลายคน
เปิดโรงเรียนสอนภาษาจีนสำเนียงแต้จิ๋ว ก่อตั้งเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ.
2463 ตั้งอยู่ในซอยอิสรานุภาพ ติดกับศาลเจ้าเล่าปูนเถ้ากง
หรือศาลเจ้าเก่า ถนนทรงวาด แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์
กรุงเทพมหานคร พื้นที่ส่วนหน้าโรงเรียน หันไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา
มีเนื้อที่ทั้งหมด 2 ไร่ 14 ตารางวา มี นายลีเต็กออ
เป็นผู้จัดการโรงเรียนคนแรก
การก่อตั้งสืบเนื่องจาก
ภาษาจีนกลางได้รับความนิยมมากในยุคนั้น จึงเริ่มจ้างนายก๊วยบุ้นปิง
มาเป็นผู้สอน เริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2464
และด้วยความก้าวหน้าของการสอนภาษาจีนในประเทศไทย
โรงเรียนจึงเปิดสอนตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
รัชกาลที่ 7 เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมโรงเรียน
ต่อมาวันที่
23 มีนาคม พ.ศ. 2470 นับเป็นวันสำคัญอย่างยิ่งของโรงเรียน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมโรงเรียนป้วยเอง เป็นการส่วนพระองค์
โอกาสนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานกระแสพระราชดำรัส
แก่คณาจารย์ นักเรียน เจ้าหน้าที่โรงเรียน ชุมชนชาวจีน
และชาวไทยเชื้อสายจีนในละแวกนั้น มีใจความดังนี้
"ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอันมาก
ในการที่ได้จัดการรับรองข้าพเจ้าเป็นอย่างดี โดยมีไมตรีจิตอันแท้จริง
การที่ข้าพเจ้าได้มาเยี่ยมโรงเรียนจีนต่างๆ ในคราวนี้
ก็เพื่อจะแสดงไมตรีจิตของข้าพเจ้า ต่อพวกจีนที่ได้มาอาศัยอยู่ในประเทศสยาม
และเพื่อแสดงน้ำใจหวังดี ต่อโรงเรียนของท่านทั้งปวง...
การที่พวกพ่อค้าจีน ได้คิดจัดตั้งโรงเรียนขึ้นนั้น
ก็โดยเหตุที่ความประสงค์อยากจะให้บุตรหลาน ได้เล่าเรียนวิชาต่างๆ ในภาษาจีน
อันเป็นภาษาของตน เพื่อจะได้เป็นการสะดวก สำหรับที่จะประกอบการอาชีพ
ทำการค้าขายต่อไป และเพื่อประโยชน์อื่นๆ ด้วย นอกจากการสอนภาษาจีน
ท่านยังได้จัดการสอนภาษาไทย และเรื่องที่เกี่ยวกับเมืองไทยด้วย
เพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ว่า โรงเรียนจีนนั้นมีประโยชน์มาก
เพราะนอกจากที่จะให้วิชาแก่เด็กจีน ให้สามารถทำมาหาเลี้ยงชีพสะดวกยิ่งขึ้น
ยังจะทำให้เด็กจีนรู้จักเมืองไทยดี และเมื่ออ่านหนังสือไทยออก และเขียนได้
ย่อมจะทำให้ไทย และจีน สนิทสนมกลมเกลียวกันยิ่งขึ้นอีก
อันที่จริง
ไทยกับจีนนั้น ต้องนับว่าเป็นชาติที่เป็นพี่น้องกันโดยแท้ นอกจากนั้น
เลือดไทยกับจีน ได้ผสมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว จนต้องนับว่าแยกไม่ออก
ข้าราชการชั้นสูงๆ ที่เคยรับราชการ หรือรับราชการอยู่ในเวลานี้
ที่เป็นเชื้อจีน ก็มีอยู่เป็นอันมาก พวกจีนที่ได้มามีเคหสถาน
ตั้งครอบครัวอยู่ในเมืองไทย จนกลายเป็นไทยไป ก็มีอยู่เป็นอันมาก
แม้ตัวข้าพเจ้าเอง ก็มีเลือดจีนปนอยู่ด้วย โดยเหตุการณ์เหล่านี้ ไทยและจีน
จึงอยู่ด้วยกันได้อย่างสนิทสนม กลมเกลียวมาช้านาน
ข้าพเจ้าไม่มีความประสงค์อะไร ยิ่งไปกว่าที่จะขอให้ความสัมพันธ์
ระหว่างไทยกับจีน ให้เป็นไปโดยสนิทสนม เหมือนอย่างที่แล้วมานี้
ให้คงอยู่เช่นนี้ตลอดไป...
ในที่สุดนี้
ข้าพเจ้าขอให้พรแก่บรรดาพ่อค้าคหบดีจีนทั้งปวง และคณะอาจารย์ของโรงเรียน
ที่ได้มาประชุมอยู่พร้อมกัน ณ ที่นี้ และนักเรียนทั้งปวง ขอจงมีความสุขสบาย
ปราศจากโรคภัยทั้งหลาย ให้มีกำลังเข้มแข็ง และปัญญาว่องไว จะกระทำสิ่งใด
ขอจงเป็นผลสำเร็จ ทุกเมื่อ เทอญ"
ถูกสั่งปิดกิจการ เพราะขัดต่อระเบียบการดำเนินกิจการโรงเรียน
ต่อมา
เมื่อปี พ.ศ. 2476 โรงเรียนฯ เปลี่ยนระบบเป็นสหศึกษา
เริ่มต้นรับนักเรียนหญิงเข้าศึกษาเป็นรุ่นแรก และปลายปี พ.ศ. 2478
คณะกรรมการโรงเรียนฯ มีมติให้เลิกจ้างครูใหญ่ชาวไทย กระทรวงธรรมการ
(ปัจจุบันคือ กระทรวงศึกษาธิการ) จึงมีคำสั่งปิดกิจการ
เพราะขัดต่อระเบียบการดำเนินกิจการโรงเรียน คณะกรรมการสมาคมแต้จิ๋วฯ
จึงยื่นคำขอเปิดโรงเรียนประถมศึกษา อีกครั้งบนที่ตั้งเดิม
แต่ใช้ชื่อใหม่ว่า เฉาโจวกงสวย (เตียจิวกงฮัก)ในปี พ.ศ. 2479
เปิดสอนภาษาไทยเป็นหลัก
20 ชั่วโมงครึ่งต่อสัปดาห์ และต้องจัดการสอนภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศ
พร้อมทั้งลดเวลาสอนลงเหลือเพียง 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ตามระเบียบของกระทรวงฯ แต่ก็ถูกสั่งปิดอีกครั้ง เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม
พ.ศ. 2482 เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สอง สมาคมแต้จิ๋วฯ
จึงนำอาคารเรียนไปใช้ เป็นที่ทำการชั่วคราว
หลังสงครามสิ้นสุดลง
มีการลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพไทย-จีน เมื่อปี พ.ศ. 2489
เป็นผลให้โรงเรียนจีน ได้รับอนุญาตให้กลับมาเปิดสอนอีกครั้ง
คณะกรรมการสมาคมแต้จิ๋วฯ จึงมีมติให้ให้ฟื้นฟูโรงเรียนเผยอิงขึ้นใหม่
(เริ่มใช้สำเนียงจีนกลาง) โดยแต่งตั้งให้นายเซี่ยเหอ
อดีตครูใหญ่เฉาโจวกงสวย เป็นครูใหญ่ฝ่ายจีนคนแรกของเผยอิง
ที่กลับมาเปิดการสอนอีกครั้ง เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ปีเดียวกัน
โดยเปิดสอนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 4
และกลับมาสอนภาษาจีนเป็นหลักอีกครั้งหนึ่ง
จนกระทั่งในปี
พ.ศ. 2492 โรงเรียนฯ ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
ที่กำหนดให้โรงเรียนทั่วประเทศ สอนภาษาไทยเป็นเวลา 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ภาษาต่างประเทศ 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จากนั้น ราวปี พ.ศ. 2501
สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย ขอรับใบอนุญาตจากกระทรวงฯ
เพื่อเป็นเจ้าของโรงเรียนฯ เนื่องด้วย นายพงส์ สุรพงศ์ชัย ลาออกจากตำแหน่ง
และเมื่อกระทรวงฯ ปรับปรุงหลักสูตรประถมศึกษาใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2521
โรงเรียนฯ จึงขยายชั้นเรียนประถมศึกษาปีที่ 5 และเพิ่มการสอนภาษาไทยเป็น 25
ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 วัน ส่วนภาษาจีนสอนเพียง 5
ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยเปลี่ยนแปลงตามระเบียบปีละ 1 ชั้นเรียน และในปี พ.ศ.
2522 โรงเรียนฯ ก็ขยายชั้นเรียนครบจนถึงประถมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตรใหม่
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จฯ ไปถึง 3 ครั้ง
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมชมการเรียนการสอน
ของโรงเรียนเผยอิง ถึงสามครั้ง คือเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2544
ซึ่งเป็นการเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์, เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2545
เป็นการทรงนำนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ชั้นปีที่ 5 จำนวน 30 นาย
มาทัศนศึกษาย่านเยาวราชและสำเพ็ง ในฐานะทรงเป็นทูลกระหม่อมอาจารย์
และเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552 ในโอกาสเสด็จฯ เยือนย่านเยาวราช
เนื่องในเทศกาลตรุษจีน
อาคารหลังแรกของโรงเรียนฯ
เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีสามชั้น รูปแบบสถาปัตยกรรมโคโลเนียล
ภายในมีโถงกลางทางเข้า มีจุดเด่นที่หน้าบันชั้นบนสุด
ประดับด้วยนาฬิกาขนาดใหญ่ และแจกันปูนปั้นบนยอดอาคาร
จัดสร้างขึ้นโดยทุนของคณะผู้ก่อตั้งโรงเรียนฯ 300,000 บาท
เริ่มงานก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2459 เสร็จสมบูรณ์เมื่อปี พ.ศ. 2463
โดยอาคารหลังนี้ ได้รับพระราชทานรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น
และรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2545
จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งรางวัลดังกล่าว
จัดโดยสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์
ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ
ดร.เทียม
โชควัฒนา - ผู้ก่อตั้งและวางรากฐานกิจการในเครือสหพัฒน์
ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องอุปโภคและบริโภคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ภายใต้ชื่อการค้า บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด
ดร.อุเทน
เตชะไพบูลย์ - ผู้ก่อตั้งธนาคารศรีนคร และมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง,
อดีตประธานกรรมการโรงเรียนเผยอิง, อดีตประธานกิตติมศักดิ์
สมาคมศิษย์เก่าเผยอิง ฯลฯ
ดร.สม จาตุศรีพิทักษ์ - พี่ชาย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์, อดีตกรรมการผู้จัดการ ธนาคารนครหลวงไทย
ดร.สมาน
โอภาสวงศ์ - ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง,
อดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ,
อดีตรองประธานกรรมการหอการค้าไทย
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ -
น้องชาย ดร.สม จาตุศรีพิทักษ์, ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ,
อดีตรองนายกรัฐมนตรี, อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง,
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
เจริญ สิริวัฒนภักดี - ประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือไทยเบฟเวอเรจ นักธุรกิจที่รวยติดอันดับ 2 ของประเทศไทย
เจริญ สิริวัฒนภักดี
ประสิทธิ์ โฆวิไลกูล - รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในคณะรัฐมนตรีคณะที่ 56 ของไทย
ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม - ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทในเครือจีเอ็มเอ็มแกรมมี่
คุณหญิงณฐนนท ทวีสิน - อดีตปลัดกรุงเทพมหานคร
สมพล ปิยะพงศ์สิริ - พิธีกรและนักจัดรายการวิทยุ
จากไม่คิดค่าเทอม ต่อมาคิดเทอมละ 3 บาท
ในช่วงแรกโรงเรียนเผยอิง
เปิดสอนเพียงแค่นักเรียนชาย โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ
พบว่ามีนักเรียนสมัครเข้ามาเรียนเป็นจำนวนมาก
แต่ต่อมาก็ได้ทำการเก็บค่าเทอมเป็นจำนวนเงิน 3 บาท
ซึ่งหมายความว่าเด็กที่จะเข้าเรียนได้ต้องมีฐานะ
พ่อค้าจีนทั้ง 5 คน ผู้ก่อตั้ง
การก่อตั้งโรงเรียน
เริ่มจากที่พ่อค้าจีนทั้ง 5 คน ได้แก่ พระอนุวัติราชนิยม (ฮง เตชะวณิช)
กอฮุยเจียะ โค้วปิ้ดจี๋ เชียวเกียงลิ้ง และตั้งเฮาะซ้ง
ได้ช่วยกันระดมทุนและรับบริจาคเงินจากชาวจีนแต้จิ๋วในไทยมาเป็นเงินทุนในการก่อสร้างโรงเรียน
เมื่อสามารถรวบรวมเงินได้จำนวน 3 แสนบาท
จึงทำการก่อสร้างอาคารหลังแรกบริเวณหลังศาลเจ้า “ปูนเถ้ากง” ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของอาคารมีรูปแบบไปในทางตะวันตก
หรือเรียกได้ว่ามีทรงแบบ “ฝรั่ง” ตามความนิยมในสมัยนั้น
ขัดกับเนื้อในของการเรียนการสอนในโรงเรียนที่มีความเป็น “จีน”
อย่างสิ้นเชิง
“โรงเรียนเผยอิง” ซึ่ง ยุวดี ศิริ ได้กล่าวถึงชื่อเสียงของโรงเรียนดังกล่าวในหนังสือ “ตึกเก่า-โรงเรียนเดิม” ไว้ว่า “เป็นแหล่งให้การศึกษามหาเศรษฐีระดับเจ้าสัวจำนวนมากที่สุดในเมืองไทย”
ปัจจุบัน
โรงเรียนแห่งนี้มีนักเรียนทั้งหมดประมาณ 500 คน มี ตั้งแต่ชั้น ป.1-ป.6
โดยมีแผนกเด็กเล็กก่อนวัยเรียนภายใต้ชื่อ "เผยเหมียว เนอสเซอรี่" เด็กๆ
ทุกคนในโรงเรียนเผยอิง โรงเรียนสอนภาษาจีนที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองไทยนี้
จะสอนวิชาสามัญตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ และ วิชาภาษาต่างประเทศ 2
ภาษาคือ ภาษาอังกฤษ และภาษาจีนกลาง โดยใช้แบบเรียนจากประเทศสิงคโปร์
และสาธารณรัฐประชาชนจีน เริ่มสอนพู่กันจีนตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 2
เรียนรู้การใช้พจนานุกรมภาษาจีน ตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 4 ส่วนวิชาหมากล้อม
(โกะ) เริ่มเรียนในชั้นประถมปีที่ 5
รวมทั้งหล่อหลอม และอมรมบ่มนิสัยจาก "บทบัญญัติการบริหาร 4 หลักการ" คือ สัมมาคารวะ น้ำใจไมตรี สุจริต หิริโอตตัปปะ และ "คุณธรรม 8 ประการ" คือ จงรักภักดี กตัญญู เมตตาธรรม ภราดรภาพ ซื่อสัตย์ น้ำใจไมตรี กลมเกลียวปรองดอง และสันติภาพ ซึ่งเป็นคำสั่งสอน ของขงจื๊อ และนักปราชญ์อื่นๆ ในสมัยโบราณ