Home »
ทั่วไป
»
“ภรรยาทั้งอ้วนและน่าเกลียด” หลังหย่าแม่ผมก็จัดงานเลี้ยงไล่ส่ง แต่ 10 วันต่อมา ผมต้องคุกเข่าขออภัยเธอ
“ภรรยาทั้งอ้วนและน่าเกลียด” หลังหย่าแม่ผมก็จัดงานเลี้ยงไล่ส่ง แต่ 10 วันต่อมา ผมต้องคุกเข่าขออภัยเธอ
วันนี้เรามีเรื่องราวจากต่างประเทศ เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่งกับภรรยาของเขา โดยเรื่องมีอยู่ว่า…
ภรรยาผมเป็นชาวสวน
อยู่ที่ชนบทนอกเมือง ฐานะทางบ้านของเธอไม่ค่อยจะดี แต่ว่าเธอเป็นคนฉลาดมาก
สอบติดมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของจังหวัด
เมื่อเรียนจบก็ทำงานได้เงินเดือนที่สูงมาก อีกทั้งหน้าตาดี สวยมาก
ทุกครั้งที่เราเดินด้วยกันรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
เหมือนเป็นสง่าราศีให้กับผม
หลังจากคบหากัน 2
ปีเราทั้งสองก็ตัดสินใจแต่งงานกัน หลังแต่งงานก็ซื้อบ้านเงิน 70%
ของราคาบ้านเธอเป็นคนจ่าย เป็นเงินที่เธอเก็บสะสมด้วยตนเอง
ส่วนที่เหลือพ่อแม่ของผมช่วยออกให้ไม่งั้นผมเองก็ไม่มีปัญญาจ่ายหรอก
ตอนแรกชีวิตความเป็นอยู่ของผมก็ผ่านมาด้วยดี
ในวันเกิดของผม เธออุตสาห์ยอมลางานเพื่อไปเที่ยวเป็นเพื่อนผม
ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุทางรถ ภรรยาปกป้องผม ทำให้สุดท้ายเธอบาดเจ็บสาหัส
บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและรอยแผลจากไฟไหม้ แต่ผมไม่เป็นอะไรมาก
แค่แขนถลอกนิดหน่อย
ภรรยาผมหน้าเสียโฉม
จนต้องศัลยกรรม ผมคิดว่าเธอจะค่อยๆ
หายดีแต่ที่ไหนได้หน้าตาน่าเกลียดเหมือนเดิม
บางครั้งผมแทบจะไม่กล้าเข้าใกล้ ผมหวาดระแวงกลัวเธอตลอดเวลา
เธอจะพยายามเข้าใกล้ผมเสมอ ถามโน้นถามนี่
ตอนแรกยังดี หลังๆ
เวลาเธอชวนผมออกไปข้างนอกมีแต่คนมองและพากันนินทา
เหมือนเราเป็นตัวประหลาดที่มีแต่สายตาจ้องมองมาที่เรา
ทำให้พักหลังผมไม่กล้าพาเธอออกไปไหนอีกเลยเพราะรู้สึกอับอายขายขี้หน้ามาก
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ทำให้ความสัมพันธ์ชีวิตคู่ของเรานับวันยิ่งแย่ลง
เธอขี้หวงและระแวงมากขึ้น จนหลายครั้งผมแทบทนไม่ไหว
แต่ผมก็ต้องยอมทนเพราะคิดว่าเธอเคยช่วยชีวิตผมเอาไว้ แม่ผมก็เริ่มไม่ชอบเธอ
จนเอาแต่ด่าเธอทุกวัน แต่เธอก็ไม่เคยโต้ตอบอะไรเลย
แต่งงานมา 3 ปี เธอไม่ท้องสักที แม่ผมก็รีบอยากจะมีหลานอุ้มมาก
พยายามหายาจีนมาให้เธอกินบำรุง จนเธอแทบจะอ้วก
และบางครั้งกินมาจนดูท่าทางทรมานน่าดู
ในที่สุดเธอก็ล้มป่วยเนื่องจากอาหารเป็นพิษ
ร่างกายทั้งบวมและหน้าตาน่าเกลียด และยังไม่มีงานทำเพราะล้มป่วยในครั้งนี้
เมื่อไม่มีงานทำวันๆ
เธอก็เอาแต่ทำงานบ้านหรือหางานพาร์ทไทมที่ทำที่บ้านได้ วันๆ เอาแต่ทำงาน
ไม่พูดคุยกับใครๆ ส่วนแม่ผมก็นับวันปากยิ่งร้ายมาก ด่าว่าเธออย่างรุนแรง
เพราะเธอไม่สามารถมีลูกเสียที ความรู้สึกผมตอนนี้กลายเป็นความเย็นชา
อยู่เพื่อตอบแทนคุณ เราสองคนทะเลาะกันบ่อยขึ้นจนในที่สุดหย่าร้างกัน
ในวันนั้นที่เราหย่ากัน
เธอเก็บข้าวของย้ายออกจากบ้านไปอยู่กับพ่อแม่ที่ชนบท แต่จู่ๆ
แม่ก็ซื้อประทัดมาจุดเต็มหน้าบ้านโดยบอกว่า “ในที่สุดแม่คนนี้ก็ออกไปจากบ้านเสียที
นังคนนี้มาเพื่อทำร้ายครอบครัวเราจริงๆ” เพื่อนบ้านออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
และพากันนินทาว่าแม่ของผมลืมบุญคุณ ผมเองก็ทำอะไรไม่ได้มาก
เพราะผมเองก็หมดรักเธอแล้ว ได้แต่มองเธอเดินจากไปทั้งน้ำตา
ผมคิดในใจว่าหมดเวรหมดกรรมเสียที
ผ่านไปไม่กี่วันเธอก็โทรหาผม บอกว่าเธอกำลังท้อง
ผมคิดว่าเธอคงต้องการจะปั่นหัวผมเล่น มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
เธอบอกว่า “ถึงแม้จะเลิกกันแล้ว แต่ก็จะคลอดลูกคนนี้ออกมา”
ผมรีบขับรถไปหาเธอเพื่อพาเธอไปหาหมอตรวจร่างกายให้แน่ชัด
แต่แล้วผมกลับต้องอึ้ง!! เพราะหมอบอกว่า “เธอท้องได้ 3
เดือนแล้ว” ตอนนั้นผมคิดอย่างเดียวคือสวรรค์กลั่นแกล้งผม เมื่อกลับบ้าน
พอแม่รู้เรื่องก็บอกให้ผมกลับไปคืนดีกับเธอ บอกว่าเสียเงินเท่าไหร่ก็ยอม
ยังไงต้องพาเธอกลับมาให้ได้
ผมเลยโทรหาเธอเพื่อขอคืน
แต่เธอบอกว่า หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมกลับมาหาผม
ผมบอกไปว่าผู้หญิงคนเดียวคลอดลูกคงเลี้ยงไม่ไหวหรอก
เธอไม่มีงานประจำจะเอาอะไรเลี้ยง พ่อแม่เธอก็ยากจน
เธอพูดออกมาว่า “ตอนนั้นพ่อแม่ฉันไม่มีเงิน
แต่ตอนนี้พ่อแม่นำที่ดินสวนไปขายได้เงินมาก้อนใหญ่มาก
ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ มีเงินเลี้ยงลูกจนโตได้”
3 วันผ่านไป
แม่ผมใจร้อนมาก บ่นทุกวันบอกให้พาเธอกลับมาที่บ้าน ให้ไปคุกเข่าก็ยอม
จนพ่อแม่เดินทางไปบ้านของเธอ ยืนขอร้องหน้าบ้าน
ถึงขั้นคุกเข่าอ้อนวอนแต่เธอก็ไม่สงสารพ่อแม่ผมเลย ปิดประตูเข้าบ้านไป
ผมและครอบครัวรู้ว่าทำผิดต่อเธอมาก
กลับใจตอนนี้คงสายเกินไปใช่ไหม?
ผมรู้ว่าก่อนหน้านั้นผมไม่รู้จักเห็นคุณค่าของเธอ…..เพราะฉะนั้นผมควรทำอย่างไรดี??
แหล่งที่มา: liekr