เมื่อถาม หลวงปู่ชาว่า ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ท่านตอบว่า ใครเชื่อก็โง่แล้ว ยังไม่ทันอ้าปากเถียง เจอคำอธิบายตามมา ก้มกราบสาธุแทบไม่ทัน
หลายๆศาสนาในโลกต่างก็สอนเราเรื่อง นรก สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด กันทุกศาสนารวมทั้งพระพุทธศาสนาก็มีในคำสอนด้วยเช่นกัน แต่เมื่อมีคนถาม หลวงปู่ชา สุภทฺโท กลับได้คำตอบที่ตรงกันข้าม แต่พอจะอ้าปากเถียงก็โดนสวนกลับด้วยธรรมอันลึกซึ้ง จนต้องรีบก้มกราบอย่างไม่ติดใจ วันนี้ ทีมงานสยามนิวส์จึงมีธรรมะดีๆจากคำสอนของหลวงปู่ชามาให้อ่านกัน ซึ่งอาจจะทำให้ใครหลายคน มีดวงตาที่เห็นธรรมขึ้นมาอีกระดับนึงเลยก็ว่าได้
ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ?
โยม : ชาติหน้ามีจริงไหมครับ ?
หลวงปู่ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ ?
โยม : เชื่อครับ
หลวงปู่ชา : ถ้าเชื่อคุณก็โง่
คำพูดดังกล่าวของหลวงปู่เล่นเอาคนถามงง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ซึ่งหลวงปู่ชา ได้อธิบายไว้ว่า….
“หลายคนถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า ถ้าบอกแล้วจะเชื่อไหม ถ้าเชื่อก็โง่ เพราะอะไร ? ก็เพราะมันไม่มีหลักฐานพยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้ ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป ทีนี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิดหรือว่าชาติหน้ามี อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามีพาผมไปดูหน่อยได้ไหม เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ทีนี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม ถ้ามีพาไปดูได้ไหม
อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี แต่สิ่งนี้มันเป็นของที่จะหยิบยกมาเป็นวัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้
วามจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยว่า ชาติหน้ามีหรือไม่มี ไม่ต้องถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือ เราจะต้องรู้เรื่องราวของตนเองในปัจจุบัน เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร นี้คือสิ่งที่เราต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย”
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้ นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้ มันจะมีได้ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวานเสียแล้ว นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน เท่านี้ก็พอแล้ว ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี อนาคตมันก็จะดีด้วย อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตคือชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง
ธรรมะสุดยอด
ธรรมะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือคำพูด
คำสอนธรรมะทั้งหลายนั้น
มันเป็นคำสมมุติกันขึ้นมาพูด
ตัวธรรมะแท้ ๆ นั้นอยู่เหนือคำพูด
ผู้มีปัญญารู้เห็นธรรมะ
ท่านไม่ต้องการอะไร ไม่เอาอะไรอีกแล้ว
เพราะถ้าจะเอาความสุข ความสุขมันก็ดับ
ถ้าจะเอาความทุกข์ ความทุกข์มันก็ดับ
จะเอาวัตถุสมบัติข้าวของอะไรต่าง ๆ
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันก็จะดับเหมือนกัน
แม้นแต่ร่างกายที่คนหวงแหนกันนี้
เกิดขึ้นแล้ว ที่สุดแล้ว มันก็ดับ
ข้อมูลจาก https://www.siamnews.com/view-12454.html
หลายๆศาสนาในโลกต่างก็สอนเราเรื่อง นรก สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด กันทุกศาสนารวมทั้งพระพุทธศาสนาก็มีในคำสอนด้วยเช่นกัน แต่เมื่อมีคนถาม หลวงปู่ชา สุภทฺโท กลับได้คำตอบที่ตรงกันข้าม แต่พอจะอ้าปากเถียงก็โดนสวนกลับด้วยธรรมอันลึกซึ้ง จนต้องรีบก้มกราบอย่างไม่ติดใจ วันนี้ ทีมงานสยามนิวส์จึงมีธรรมะดีๆจากคำสอนของหลวงปู่ชามาให้อ่านกัน ซึ่งอาจจะทำให้ใครหลายคน มีดวงตาที่เห็นธรรมขึ้นมาอีกระดับนึงเลยก็ว่าได้
ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ?
โยม : ชาติหน้ามีจริงไหมครับ ?
หลวงปู่ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ ?
โยม : เชื่อครับ
หลวงปู่ชา : ถ้าเชื่อคุณก็โง่
คำพูดดังกล่าวของหลวงปู่เล่นเอาคนถามงง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ซึ่งหลวงปู่ชา ได้อธิบายไว้ว่า….
“หลายคนถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่า ถ้าบอกแล้วจะเชื่อไหม ถ้าเชื่อก็โง่ เพราะอะไร ? ก็เพราะมันไม่มีหลักฐานพยานอะไรที่จะหยิบมาให้ดูได้ ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา คนเขาว่าอย่างไร คุณก็เชื่ออย่างนั้น คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป ทีนี้ถ้าอาตมาตอบว่า คนตายแล้วเกิดหรือว่าชาติหน้ามี อันนี้คุณต้องถามต่อไปอีกว่า ถ้ามีพาผมไปดูหน่อยได้ไหม เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด ทีนี้ ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม อาตมาก็ถามว่า พรุ่งนี้มีไหม ถ้ามีพาไปดูได้ไหม
อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้จะมีอยู่ แต่ก็พาไปดูไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าวันนี้มี พรุ่งนี้ก็ต้องมี แต่สิ่งนี้มันเป็นของที่จะหยิบยกมาเป็นวัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้
วามจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยว่า ชาติหน้ามีหรือไม่มี ไม่ต้องถามว่า คนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อันนั้นมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือ เราจะต้องรู้เรื่องราวของตนเองในปัจจุบัน เราต้องรู้ว่า เรามีทุกข์ไหม ถ้าทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร นี้คือสิ่งที่เราต้องรู้ และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย”
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้ นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้ มันจะมีได้ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไป มันก็กลายเป็นเมื่อวานเสียแล้ว นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน เท่านี้ก็พอแล้ว ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดี อนาคตมันก็จะดีด้วย อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตคือชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง
ธรรมะสุดยอด
ธรรมะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือคำพูด
คำสอนธรรมะทั้งหลายนั้น
มันเป็นคำสมมุติกันขึ้นมาพูด
ตัวธรรมะแท้ ๆ นั้นอยู่เหนือคำพูด
ผู้มีปัญญารู้เห็นธรรมะ
ท่านไม่ต้องการอะไร ไม่เอาอะไรอีกแล้ว
เพราะถ้าจะเอาความสุข ความสุขมันก็ดับ
ถ้าจะเอาความทุกข์ ความทุกข์มันก็ดับ
จะเอาวัตถุสมบัติข้าวของอะไรต่าง ๆ
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันก็จะดับเหมือนกัน
แม้นแต่ร่างกายที่คนหวงแหนกันนี้
เกิดขึ้นแล้ว ที่สุดแล้ว มันก็ดับ
ข้อมูลจาก https://www.siamnews.com/view-12454.html