วิชาการต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้ที่ศึกษาแล้วไม่ค่อยได้ผล เพราะคนขาดความอดทนมาก ต้องบอกว่าขาดมากจริง ๆ โยมบางคนมาถามเรื่องกสิณ บอกว่าผมจับภาพกสิณ ภาวนาแล้วแต่ทำไมยังไม่เกิดผล
อาตมาถามว่าคุณภาวนากี่ครั้ง ถึงร้อยครั้งหรือยัง ? เขาก็อึ้งไปสักพักหนึ่ง แสดงว่าร้อยครั้งยังไม่ถึงเลย จึงบอกเขาไปว่า คุณไปเปิดหนังสือคู่มือปฏิบัติกรรมฐาน หรือหนังสือกรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุงดู ในเรื่องการฝึกกสิณ ท่านบอกว่า ให้ลืมตามองภาพ หลับตาลงนึกถึงภาพนั้น พร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา พอภาพเลือนไปให้ลืมตาดูใหม่ หลับตาลงกำหนดนึกถึงภาพนั้น พร้อมกับลมหายใจและคำภาวนา ทำอย่างนั้นเป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง จนกว่าภาพนั้นจะเริ่มติดตาติดใจ
ทีนี้เขาเองหลักร้อยยังไม่ผ่านเลย แล้วจะไปกล่าวถึงเป็นหมื่นเป็นแสนได้อย่างไร
เมื่อตอนบ่ายมีโยมมาปรารภว่า ตอนนี้การทำมาหากินลำบากมาก จะแก้ไขด้วยวิธีไหน ? อาตมาก็แจ้งแก่โยมไปว่า ให้ใช้คาถาเงินล้านเป็นกรรมฐาน เขาบอกว่าภาวนาเป็นประจำเช้าเย็นอยู่แล้ว
อาตมาถามว่ากี่จบ ? เขาบอกว่าเช้า ๙ จบ เย็น ๙ จบ อาตมาจึงบอกว่า “โยมรู้ไหมว่า ถ้าอาตมาแนะนำให้ภาวนา ต่ำสุดจะให้เริ่มที่ ๑๐๘ จบ”
ยังดีกว่าโยมอีกคน เขาบอกว่าท่องคาถาเงินล้านมา ๒ เดือนยังไม่เห็นผล เราก็แปลกใจ เพราะถ้า ๒ เดือน ทำจริง ๆ ต้องเห็นผล ถามว่าโยมภาวนาครั้งละกี่จบ ? เขาว่าครั้งละ ๑ จบ แหม..น่าได้ผลจริง ๆ เลย..!
การที่ให้เราภาวนามาก ๆ ก็เพราะว่าระยะเวลาที่ยาวนาน จะทำให้สมาธิของเราตั้งมั่นมากขึ้น เนื่องจากเรื่องของคาถาขึ้นอยู่กับสมาธิเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งสมาธิสูงเท่าไร คาถาจะยิ่งให้ผลมากขึ้น ดังนั้น.. การที่พวกเราทั้งหมดในปัจจุบัน ทำแล้วไม่ได้ผลเพราะไม่มีการทุ่มเท
สมัยที่อาตมาภาวนาคาถาปัจเจกพระพุทธเจ้า อาตมาภาวนาครั้งละ ๙ จบ ทำไปประมาณ ๓ เดือน ก็เริ่มเห็นผล พอมาปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อท่านมอบคาถาเงินล้านให้ ก็มาปฏิบัติภาวนาดูตอนนั้นติดใจในการภาวนาคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ก็เลยกำหนดว่า เราภาวนาคาถาเงินล้าน ๙ จบ น่าจะน้อยไป เพิ่มเป็นวันละ ๓๐ จบดีกว่า
จาก ๓๐ จบ ทำไป ๆ เริ่มเห็นผล ก็มานึกว่า สมัยหลวงปู่ป่าน ท่านมอบคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ให้แก่ลูกศิษย์ แล้วมีบุคคลตัวอย่างที่ทำแล้วได้ผล ก็คือท่านนายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิต เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ หรือนายแจ่ม เปาเล้ง ชาวดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เป็นบุคคลตัวอย่างที่หลวงพ่อท่านยกให้ลูกศิษย์ฟัง
คราวนี้มาถึงคาถาเงินล้าน ยังไม่มีใครที่เป็นบุคคลตัวอย่างที่ทำแล้วเห็นผล ให้หลวงพ่อยกตัวอย่างให้ลูกศิษย์ฟังได้เลย จึงตัดสินใจว่า “ในเมื่อยังไม่มี..เราก็ว่าซะเอง” เพิ่มการภาวนาจากวันละ ๓๐ จบ เป็น ๓๐๐ จบ
จาก ๓๐๐ จบ เป็น ๓๖๐ จบ เป็น ๖๐๐ จบ เป็น ๙๐๐ จบ และเพิ่มเป็น ๑,๒๐๐ จบ แต่อาตมาไม่ได้เร่งท่องเอาจำนวน ใช้เป็นคำภาวนาสบาย ๆ กำหนดรู้รายละเอียดทุกคำไม่ใช่เร่งให้เร็ว ๆ จะได้หลาย ๆ จบ
อาตมาตื่นนอนมาตอนตีสามก็เริ่มภาวนา จะไปครบจำนวนเอาตอนทุ่มหนึ่ง แปลว่าทั้งวันอยู่กับการภาวนา ผลของคาถาเงินล้านจะทำให้ลาภผลไหลมาเทมา
ในสมัยนั้น ถ้านับในส่วนของพระด้วยกันแล้ว นอกจากหลวงพ่อวัดท่าซุง เรื่องการเงินอาตมามีความคล่องตัวที่สุด แต่คำว่าคล่องตัวอาตมาคือไม่มีเหลือ เนื่องจากได้มาเท่าไรก็ทำบุญกับหลวงพ่อรายการนั้นบ้าง รายการนี้บ้างจนหมด
จำได้ว่าตอนแรก ๆ จดรายการทำบุญไว้ ถวายสังฆทานชุดใหญ่ ชุดละ ๑,๐๐๐ บาท กับหลวงพ่อได้กี่ชุด เราก็จดไปเรื่อย แต่พอได้สามร้อยกว่าชุด จึงเลิกจดแล้ว เพราะขี้เกียจจำ
จริง ๆ แล้ว มีคนที่รวยกว่าก็คือ หลวงพี่โอ หลวงพี่โออยู่กับหลวงพ่อมาตั้งแต่ยุคแรก ๆ คนจะรู้จักมาก สมัยนั้นหากมีกิจนิมนต์ส่วนใหญ่โยมจะเจาะจงรายชื่อพระมาเลย อย่างเช่น หลวงตาผ่อง หลวงตานา หลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์ หลวงพี่ทีป นอกนั้นแล้วแต่ทางวัดจะจัดให้
หลวงพี่โอพอสะสมเงินครบหมื่น ก็จะเก็บเข้าบัญชีฝากประจำ เพราะฉะนั้น..หลวงพี่โอจะรวยมาก แต่หลวงพี่โอท่านไม่เก็บบุญเล็กบุญน้อย ท่านทำบุญใหญ่อย่างเดียว ส่วนของเราเจอบุญอะไรขวางหน้าทำหมด เงินก็เลยหมดไปด้วย
ส่วนหลวงพี่โอท่านเก็บเงินไปเรื่อย พอถึงเวลาครบปีท่านก็ไปหาว่า วัดไหนต้องการสร้างพระประธานหน้าตัก ๔ ศอกบ้าง จะเป็นเจ้าภาพสร้างให้วัดนั้น ถ้ายิ่งได้พระประธานในโบสถ์ยิ่งดี ก็แปลว่าพี่เขาเอาบุญใหญ่อย่างเดียวแต่ของเรานี่เล็กน้อยแค่ไหน ขอให้รู้เป็นทำหมด
พอหน้ากฐินก็เตรียมซองปัจจัยไว้ซองละ ๑,๐๐๐ บาท วัดไหนมีกฐินร่วมกับเขาหมด ๑,๐๐๐บาท พร้อมผ้าไตร ๑ ชุด ทำจนไม่ต้องนับ บางปีก็ ๔๐ – ๕๐ วัด ก็มี
ดังนั้น..โยมที่บอกว่า ลำบากในเรื่องทำมาหากิน ถ้าตั้งใจภาวนาคาถาเงินล้านจริง ๆ ไม่เกิน ๒ เดือน จะมีความคล่องตัวแน่นอน ที่กล้ายืนยันเพราะทำเห็นผลด้วยตนเองมาแล้ว ทุกวันนี้ ที่บรรดาเพื่อนพระเห็นว่าอาจารย์เล็กรวย ก็คืออานิสงส์ของคาถาเงินล้านนั่นเอง
เมื่อเดือนก่อนตอนประชุมพระนวกะ ท่านเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๑ ก่อนหน้านี้เคยเป็นคู่เขยกัน คือท่านเป็นเจ้าคณะตำบลชะแลเขต ๑ อาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลชะแลเขต ๒ เขาก็เลยเรียกกันว่าเป็นคู่เขยกัน
พอท่านมาถึงก็บอกว่า “อาจารย์..ผมติดหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างอยู่ ขอยืมสักสี่แสนสิ” อาตมาก็หัวเราะบอกว่า “รู้ไหม..ที่เห็นว่าผมรวยเป็นเพราะผมใช้เงินไม่คิด มีเท่าไรผมก็ทุ่มออกเพื่องานส่วนรวมหมด คนที่ทำได้ทุกงาน ทำได้ทุกครั้ง คนเขาจะเห็นว่ารวย แต่จริง ๆ แล้ว ผมไม่มีเงินเก็บ ส่วนคนไหนก็ตามที่ไม่ยอมทำอะไรเลย ส่วนใหญ่เขามีเงินเก็บท่วมหัวทั้งนั้น ลองไปขอยืมเขาดูก็แล้วกัน..” แปลกดี..บางวันอาตมาเหลือเงินติดตัวอยู่แค่ ๒๒ บาทเท่านั้น..!
หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านแนะนำเอาไว้ ท่านบอกว่าจะมากจะน้อย ขอให้มีเงินติดตัวไว้ บาทหนึ่งสลึงหนึ่งก็ยังดี ถ้าใช้คาถาเงินล้านของท่าน “อย่าพูดคำว่าไม่มีเงิน” อย่างไรก็ต้องมี
ถ้าหากว่าโยมมีเหรียญที่ไม่ได้ใช้ ก็ใส่ ๆ กระเป๋าไว้บ้าง อย่างไรก็ให้มีเงินติดกระเป๋าอยู่ เป็นการแก้เคล็ด
ในสมัยของหลวงปู่ปาน มีลูกศิษย์ที่ทำคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ แล้วประสบผลสำเร็จเป็นตัวอย่างให้คนอื่นได้ พอมาถึงรุ่นหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านไม่ได้ยกตัวอย่าง แต่อาตมาก็ทำให้เห็นแล้วว่า ถ้าทำจริงก็มีผลจริงๆ
เหลือแต่พวกเราทั้งหลายว่าจะมีใครทุ่มเทจริงจัง เมื่อถึงเวลาแล้วจะได้ประกาศอย่างเต็มปากเต็มคำว่า เราปฏิบัติกรรมฐานแล้วได้ผล โดยเฉพาะในส่วนของคาถาเงินล้าน ที่มีอานิสงส์พิเศษก็คือ ความคล่องตัวในความเป็นอยู่
อานิสงส์ของการภาวนานั้น เราได้พุทธานุสติเต็ม ๆ อยู่แล้ว เพราะเป็นคาถาที่พระพุทธเจ้าท่านมอบให้มา ถ้าเราต้องการไปนิพพานก็ภาวนาคาถาเงินล้าน แล้วเอาใจเกาะพระนิพพานไว้ ในส่วนของการดำรงชีวิตอยู่ เราต้องการผลพิเศษของคาถา
ไปทำจริง ๆ สักที เราต้องกล้าคิด กล้าทำ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่มีใครกล้าเราก็ว่าเสียเอง ทำตัวเองให้เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์เสียเลย ถ้าเราทำได้ผล ถึงเวลาไปสอนคนอื่น ก็จะสอนได้อย่างเต็มปากเต็มคำอีกด้วย
ข้อมูลจาก siamweek
อาตมาถามว่าคุณภาวนากี่ครั้ง ถึงร้อยครั้งหรือยัง ? เขาก็อึ้งไปสักพักหนึ่ง แสดงว่าร้อยครั้งยังไม่ถึงเลย จึงบอกเขาไปว่า คุณไปเปิดหนังสือคู่มือปฏิบัติกรรมฐาน หรือหนังสือกรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุงดู ในเรื่องการฝึกกสิณ ท่านบอกว่า ให้ลืมตามองภาพ หลับตาลงนึกถึงภาพนั้น พร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา พอภาพเลือนไปให้ลืมตาดูใหม่ หลับตาลงกำหนดนึกถึงภาพนั้น พร้อมกับลมหายใจและคำภาวนา ทำอย่างนั้นเป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง จนกว่าภาพนั้นจะเริ่มติดตาติดใจ
ทีนี้เขาเองหลักร้อยยังไม่ผ่านเลย แล้วจะไปกล่าวถึงเป็นหมื่นเป็นแสนได้อย่างไร
เมื่อตอนบ่ายมีโยมมาปรารภว่า ตอนนี้การทำมาหากินลำบากมาก จะแก้ไขด้วยวิธีไหน ? อาตมาก็แจ้งแก่โยมไปว่า ให้ใช้คาถาเงินล้านเป็นกรรมฐาน เขาบอกว่าภาวนาเป็นประจำเช้าเย็นอยู่แล้ว
อาตมาถามว่ากี่จบ ? เขาบอกว่าเช้า ๙ จบ เย็น ๙ จบ อาตมาจึงบอกว่า “โยมรู้ไหมว่า ถ้าอาตมาแนะนำให้ภาวนา ต่ำสุดจะให้เริ่มที่ ๑๐๘ จบ”
ยังดีกว่าโยมอีกคน เขาบอกว่าท่องคาถาเงินล้านมา ๒ เดือนยังไม่เห็นผล เราก็แปลกใจ เพราะถ้า ๒ เดือน ทำจริง ๆ ต้องเห็นผล ถามว่าโยมภาวนาครั้งละกี่จบ ? เขาว่าครั้งละ ๑ จบ แหม..น่าได้ผลจริง ๆ เลย..!
การที่ให้เราภาวนามาก ๆ ก็เพราะว่าระยะเวลาที่ยาวนาน จะทำให้สมาธิของเราตั้งมั่นมากขึ้น เนื่องจากเรื่องของคาถาขึ้นอยู่กับสมาธิเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งสมาธิสูงเท่าไร คาถาจะยิ่งให้ผลมากขึ้น ดังนั้น.. การที่พวกเราทั้งหมดในปัจจุบัน ทำแล้วไม่ได้ผลเพราะไม่มีการทุ่มเท
สมัยที่อาตมาภาวนาคาถาปัจเจกพระพุทธเจ้า อาตมาภาวนาครั้งละ ๙ จบ ทำไปประมาณ ๓ เดือน ก็เริ่มเห็นผล พอมาปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อท่านมอบคาถาเงินล้านให้ ก็มาปฏิบัติภาวนาดูตอนนั้นติดใจในการภาวนาคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ก็เลยกำหนดว่า เราภาวนาคาถาเงินล้าน ๙ จบ น่าจะน้อยไป เพิ่มเป็นวันละ ๓๐ จบดีกว่า
จาก ๓๐ จบ ทำไป ๆ เริ่มเห็นผล ก็มานึกว่า สมัยหลวงปู่ป่าน ท่านมอบคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ให้แก่ลูกศิษย์ แล้วมีบุคคลตัวอย่างที่ทำแล้วได้ผล ก็คือท่านนายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิต เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ หรือนายแจ่ม เปาเล้ง ชาวดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เป็นบุคคลตัวอย่างที่หลวงพ่อท่านยกให้ลูกศิษย์ฟัง
คราวนี้มาถึงคาถาเงินล้าน ยังไม่มีใครที่เป็นบุคคลตัวอย่างที่ทำแล้วเห็นผล ให้หลวงพ่อยกตัวอย่างให้ลูกศิษย์ฟังได้เลย จึงตัดสินใจว่า “ในเมื่อยังไม่มี..เราก็ว่าซะเอง” เพิ่มการภาวนาจากวันละ ๓๐ จบ เป็น ๓๐๐ จบ
จาก ๓๐๐ จบ เป็น ๓๖๐ จบ เป็น ๖๐๐ จบ เป็น ๙๐๐ จบ และเพิ่มเป็น ๑,๒๐๐ จบ แต่อาตมาไม่ได้เร่งท่องเอาจำนวน ใช้เป็นคำภาวนาสบาย ๆ กำหนดรู้รายละเอียดทุกคำไม่ใช่เร่งให้เร็ว ๆ จะได้หลาย ๆ จบ
อาตมาตื่นนอนมาตอนตีสามก็เริ่มภาวนา จะไปครบจำนวนเอาตอนทุ่มหนึ่ง แปลว่าทั้งวันอยู่กับการภาวนา ผลของคาถาเงินล้านจะทำให้ลาภผลไหลมาเทมา
ในสมัยนั้น ถ้านับในส่วนของพระด้วยกันแล้ว นอกจากหลวงพ่อวัดท่าซุง เรื่องการเงินอาตมามีความคล่องตัวที่สุด แต่คำว่าคล่องตัวอาตมาคือไม่มีเหลือ เนื่องจากได้มาเท่าไรก็ทำบุญกับหลวงพ่อรายการนั้นบ้าง รายการนี้บ้างจนหมด
จำได้ว่าตอนแรก ๆ จดรายการทำบุญไว้ ถวายสังฆทานชุดใหญ่ ชุดละ ๑,๐๐๐ บาท กับหลวงพ่อได้กี่ชุด เราก็จดไปเรื่อย แต่พอได้สามร้อยกว่าชุด จึงเลิกจดแล้ว เพราะขี้เกียจจำ
จริง ๆ แล้ว มีคนที่รวยกว่าก็คือ หลวงพี่โอ หลวงพี่โออยู่กับหลวงพ่อมาตั้งแต่ยุคแรก ๆ คนจะรู้จักมาก สมัยนั้นหากมีกิจนิมนต์ส่วนใหญ่โยมจะเจาะจงรายชื่อพระมาเลย อย่างเช่น หลวงตาผ่อง หลวงตานา หลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์ หลวงพี่ทีป นอกนั้นแล้วแต่ทางวัดจะจัดให้
หลวงพี่โอพอสะสมเงินครบหมื่น ก็จะเก็บเข้าบัญชีฝากประจำ เพราะฉะนั้น..หลวงพี่โอจะรวยมาก แต่หลวงพี่โอท่านไม่เก็บบุญเล็กบุญน้อย ท่านทำบุญใหญ่อย่างเดียว ส่วนของเราเจอบุญอะไรขวางหน้าทำหมด เงินก็เลยหมดไปด้วย
ส่วนหลวงพี่โอท่านเก็บเงินไปเรื่อย พอถึงเวลาครบปีท่านก็ไปหาว่า วัดไหนต้องการสร้างพระประธานหน้าตัก ๔ ศอกบ้าง จะเป็นเจ้าภาพสร้างให้วัดนั้น ถ้ายิ่งได้พระประธานในโบสถ์ยิ่งดี ก็แปลว่าพี่เขาเอาบุญใหญ่อย่างเดียวแต่ของเรานี่เล็กน้อยแค่ไหน ขอให้รู้เป็นทำหมด
พอหน้ากฐินก็เตรียมซองปัจจัยไว้ซองละ ๑,๐๐๐ บาท วัดไหนมีกฐินร่วมกับเขาหมด ๑,๐๐๐บาท พร้อมผ้าไตร ๑ ชุด ทำจนไม่ต้องนับ บางปีก็ ๔๐ – ๕๐ วัด ก็มี
ดังนั้น..โยมที่บอกว่า ลำบากในเรื่องทำมาหากิน ถ้าตั้งใจภาวนาคาถาเงินล้านจริง ๆ ไม่เกิน ๒ เดือน จะมีความคล่องตัวแน่นอน ที่กล้ายืนยันเพราะทำเห็นผลด้วยตนเองมาแล้ว ทุกวันนี้ ที่บรรดาเพื่อนพระเห็นว่าอาจารย์เล็กรวย ก็คืออานิสงส์ของคาถาเงินล้านนั่นเอง
เมื่อเดือนก่อนตอนประชุมพระนวกะ ท่านเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๑ ก่อนหน้านี้เคยเป็นคู่เขยกัน คือท่านเป็นเจ้าคณะตำบลชะแลเขต ๑ อาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลชะแลเขต ๒ เขาก็เลยเรียกกันว่าเป็นคู่เขยกัน
พอท่านมาถึงก็บอกว่า “อาจารย์..ผมติดหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างอยู่ ขอยืมสักสี่แสนสิ” อาตมาก็หัวเราะบอกว่า “รู้ไหม..ที่เห็นว่าผมรวยเป็นเพราะผมใช้เงินไม่คิด มีเท่าไรผมก็ทุ่มออกเพื่องานส่วนรวมหมด คนที่ทำได้ทุกงาน ทำได้ทุกครั้ง คนเขาจะเห็นว่ารวย แต่จริง ๆ แล้ว ผมไม่มีเงินเก็บ ส่วนคนไหนก็ตามที่ไม่ยอมทำอะไรเลย ส่วนใหญ่เขามีเงินเก็บท่วมหัวทั้งนั้น ลองไปขอยืมเขาดูก็แล้วกัน..” แปลกดี..บางวันอาตมาเหลือเงินติดตัวอยู่แค่ ๒๒ บาทเท่านั้น..!
หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านแนะนำเอาไว้ ท่านบอกว่าจะมากจะน้อย ขอให้มีเงินติดตัวไว้ บาทหนึ่งสลึงหนึ่งก็ยังดี ถ้าใช้คาถาเงินล้านของท่าน “อย่าพูดคำว่าไม่มีเงิน” อย่างไรก็ต้องมี
ถ้าหากว่าโยมมีเหรียญที่ไม่ได้ใช้ ก็ใส่ ๆ กระเป๋าไว้บ้าง อย่างไรก็ให้มีเงินติดกระเป๋าอยู่ เป็นการแก้เคล็ด
ในสมัยของหลวงปู่ปาน มีลูกศิษย์ที่ทำคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ แล้วประสบผลสำเร็จเป็นตัวอย่างให้คนอื่นได้ พอมาถึงรุ่นหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านไม่ได้ยกตัวอย่าง แต่อาตมาก็ทำให้เห็นแล้วว่า ถ้าทำจริงก็มีผลจริงๆ
เหลือแต่พวกเราทั้งหลายว่าจะมีใครทุ่มเทจริงจัง เมื่อถึงเวลาแล้วจะได้ประกาศอย่างเต็มปากเต็มคำว่า เราปฏิบัติกรรมฐานแล้วได้ผล โดยเฉพาะในส่วนของคาถาเงินล้าน ที่มีอานิสงส์พิเศษก็คือ ความคล่องตัวในความเป็นอยู่
อานิสงส์ของการภาวนานั้น เราได้พุทธานุสติเต็ม ๆ อยู่แล้ว เพราะเป็นคาถาที่พระพุทธเจ้าท่านมอบให้มา ถ้าเราต้องการไปนิพพานก็ภาวนาคาถาเงินล้าน แล้วเอาใจเกาะพระนิพพานไว้ ในส่วนของการดำรงชีวิตอยู่ เราต้องการผลพิเศษของคาถา
ไปทำจริง ๆ สักที เราต้องกล้าคิด กล้าทำ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่มีใครกล้าเราก็ว่าเสียเอง ทำตัวเองให้เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์เสียเลย ถ้าเราทำได้ผล ถึงเวลาไปสอนคนอื่น ก็จะสอนได้อย่างเต็มปากเต็มคำอีกด้วย
ข้อมูลจาก siamweek