สละเวลาอ่าน 3 นาที อย่ามัวแต่หลง ลาภ ยศ สรรเสริญ สิ่งทั้งหลายเอาไปตอนตายไม่ได้

๑. มัดตราสังข์สามเปลาะ

มัดที่คอ หมายถึง บ่วงรักลูก

มัดที่มือ หมายถึง บ่วงรักสามี – ภรรยา

มัดตรงข้อเท้า หมายถึง บ่วงรักทรัพย์สมบัติ

ติดอยู่สามบ่วงนี้ ไปนิพพานไม่ได้

ต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏไม่มีจบสิ้น

๒. เคาะโลงรับศีล

ไม่ใช่ให้คนตายมารับศีล

แต่เพื่อเป็นการบอกคนที่มาร่วมงานว่า

อย่าเอาแต่มัวประมาทขาดสติ ไม่สนใจในหลักธรรมคำสอน เมื่อตายไปหมดโอกาสทำความดี จะเคาะจนโลงแตกก็ลุกขึ้นมาไม่ได้

๓. สวดอภิธรรม

มักสวดเป็นภาษาบาลี คนเป็นฟังไม่รู้เรื่อง จึงนึกว่าสวดให้คนตาย แต่จริงๆ แล้วเป็นการสวด เพื่อสอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้นำหลักธรรมไปปฏิบัติให้เกิดผลดีในชีวิตประจำวันดังนั้นแม้จะฟังไม่เข้าใจแต่เพื่อให้การฟังสวดอภิธรรมเกิดผล ควรสำรวมส่งจิตไปอยู่กับเสียงพระสวด

ให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเสียงพระสวดก็จะเกิดสมาธิจิตได้

๔. บวชหน้าไฟ

มักเข้าใจกันว่า เป็นการบวชจูงผู้ตายขึ้นสวรรค์ ความจริงนั้น ไม่ใช่ เพราะการบวชหน้าไฟ

เป็นการปลงธรรมสังเวชต่อการเกิด แก่ เจ็บ และตายในที่สุด มนุษย์ก็มีเท่านี้ ทำให้เกิดการเบื่อหน่ายต่อชีวิตในโลกียวิสัย ไม่ประสงค์จะอยู่ในเพศฆราวาส แล้วพอใจในสมณะเพศ มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เข้าสู่มรรคผลนิพพาน

๕. การนิมนต์พระจูงออกหน้าศพ

เพื่อจะสอนคนที่ยังอยู่ให้ได้สำนึกว่าตอนที่ยังอยู่

ต้องเดินตามหลังพระ หมายความว่าให้ดำเนินชีวิตตามพระธรรมคำสั่งสอนพระพุทธเจ้านั่นเอง จึงจะอยู่ดีมีสุข มีความเจริญก้าวหน้า

๖. การเวียนซ้าย ๓ รอบ

หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งสามอันมี กามภพ รูปภพ อรูปภพ ด้วยอำนาจกิเลสตัณหาอุปทาน ก็จะเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นต้องทวนกระแสกิเลส เป็นการสอนธรรมชั้นสูง จึงได้พาศพเวียนซ้าย

๗. การใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ เพื่อชี้ให้เห็นว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำสะอาด บริสุทธิ์ ผู้เข้าสู่มรรคผลนิพพาน ต้องชำระจิตให้สะอาดด้วยน้ำทิพย์จากพระธรรม

๘. การแปรรูป หลังจากเผาแล้ว มีการเก็บอัฐิ

และมีการเขี่ยขี้เถ้าผู้ตายให้เป็นรูปร่างกลับไปกลับมาเพื่อจะบอกว่าได้กลับชาติใหม่แล้วตามวิบากของกรรมต่อไป
………………

“อย่ามัวแต่หลง ลาภ ยศ สรรเสริญ หลงตำแหน่งหน้าที่การงานอยู่ สิ่งทั้งหลายเอาไปตอนตายไม่ได้”

การให้ธรรมทานชนะซึ่งการให้ทั้งปวง

สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ

๑ แชร์เท่ากับ ๑ ธรรมทาน สาธุอนุโมทนามิ

ข้อมูลจาก ธรรมะ30วิ