จากประสบการณ์จริงของสามีคุณ Thapatch Kaewvaen
โพสรายละเอียดลงในเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า สามีติดเชื้อในกระแสเลือด
จากอาการลิ่มเลือดอุดตันที่ข้อเท้า ทำให้ขาบวม เป็นแผล
อาการเริ่มต้นที่พบ คือ ขาบวมตั้งแต่ใต้เข่าไปจนถึงเท้า บวมจนใส่รองเท้าไม่ได้ ไม่มีอาการเจ็บปวด พบแผลเล็กๆ ที่ดูไม่น่าจะร้ายแรงอะไร ทานยาคลายกล้ามเนื้อไม่หาย หลังจากนั้นอีก 2-3 อาทิตย์เริ่มมีอาการปวดศีรษะ ความดันสูง มีไข้หนาวสั่น อาเจียน ท้องเสีย และอาการบวมหนักขึ้นจนเริ่มเป็นสีแดงคล้ำน่ากลัว
สาเหตุของอาการดังกล่าว แพทย์อธิบายว่าเป็นเพราะนั่งไขว่ห้างทับข้อเท้าบริเวณเดิมอยู่บ่อยๆ จนบริเวณนั้นมีอาการบาดเจ็บ อักเสบ บวกกับพฤติกรรมการกินที่ทานอาหารจำพวกไขมัน และน้ำตาลมาก ทำให้เลือดข้นหนืด เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นลิ่มเลือดอุดตันที่ข้อเท้า
ลิ่มเลือด นอกจากจะอุดตันที่ข้อเท้าแล้ว ยังสามารถลอยตามกระแสเลือดไปอุดตันที่บริเวณส่วนอื่นของร่างกายได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกัน
เราสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ จากการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ลดอาหารที่มีไขมัน และรสหวานจัด ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ และที่สำคัญคือลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนท่านั่ง ลุกขึ้นยืนระหว่างวันบ้าง เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด และลดอาการเลือดคั่งตามบริเวณต่างๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊คคุณ Thapatch Kaewvaen
อาการเริ่มต้นที่พบ คือ ขาบวมตั้งแต่ใต้เข่าไปจนถึงเท้า บวมจนใส่รองเท้าไม่ได้ ไม่มีอาการเจ็บปวด พบแผลเล็กๆ ที่ดูไม่น่าจะร้ายแรงอะไร ทานยาคลายกล้ามเนื้อไม่หาย หลังจากนั้นอีก 2-3 อาทิตย์เริ่มมีอาการปวดศีรษะ ความดันสูง มีไข้หนาวสั่น อาเจียน ท้องเสีย และอาการบวมหนักขึ้นจนเริ่มเป็นสีแดงคล้ำน่ากลัว
สาเหตุของอาการดังกล่าว แพทย์อธิบายว่าเป็นเพราะนั่งไขว่ห้างทับข้อเท้าบริเวณเดิมอยู่บ่อยๆ จนบริเวณนั้นมีอาการบาดเจ็บ อักเสบ บวกกับพฤติกรรมการกินที่ทานอาหารจำพวกไขมัน และน้ำตาลมาก ทำให้เลือดข้นหนืด เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นลิ่มเลือดอุดตันที่ข้อเท้า
ลิ่มเลือด นอกจากจะอุดตันที่ข้อเท้าแล้ว ยังสามารถลอยตามกระแสเลือดไปอุดตันที่บริเวณส่วนอื่นของร่างกายได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกัน
เราสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ จากการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ลดอาหารที่มีไขมัน และรสหวานจัด ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ และที่สำคัญคือลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนท่านั่ง ลุกขึ้นยืนระหว่างวันบ้าง เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด และลดอาการเลือดคั่งตามบริเวณต่างๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊คคุณ Thapatch Kaewvaen