ติดกาแฟทำไงดี อาการแบบนี้ใครไม่เป็นไม่มีวันเข้าใจ แต่ถ้าพร้อมที่จะเลิก วิธีเหล่านี้อาจช่วยให้คุณโบกมือลาเจ้าเครื่องดื่มนี้ได้ง่ายขึ้น
4. ดื่มน้ำเยอะ ๆ
การดื่มน้ำเยอะ ๆ นอกจากจะดีต่อร่างกายแล้วยังช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกายได้อีกด้วย ซึ่งมีการศึกษาพบว่าการดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยทำให้คนที่มีภาวะติดคาเฟอีนนั้นไม่มีอาการขาดสมาธิ หรือไร้ผลข้างเคียงจากการเลิกดื่มกาแฟได้อีกด้วย นอกจากนี้ประโยชน์จากการดื่มน้ำก็ยังมีอีกเพียบ รู้แบบนี้ก็หันมาดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ ดีกว่านะ
อาการติดกาแฟ
หรือการติดคาเฟอีน เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับคนจำนวนไม่น้อย
อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะหนักหนาขนาดไหน ซึ่งการติดกาแฟนี้
นอกจากจะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจแล้วก็ยังอาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาวได้
ไม่ว่าจะเป็นภาวะกระดูกพรุน ปัญหาโรคตับ
แถมยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูงอีกด้วย แน่นอนล่ะว่าหลายคนที่ติดกาแฟรู้ถึงโทษของเจ้าเครื่องดื่มสีดำนี้ดี แต่จะให้เลิกดื่มไปแบบในทันทีก็ยังทำใจไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นลองมาดูวิธีเลิกกาแฟที่เราจะหยิบยกมาแนะนำกันดีกว่า
ใครที่ตั้งใจจะเลิกกาแฟ
หรือแค่มีความคิดจะเลิกกาแฟก็ลองเก็บวิธีเหล่านี้เป็นตัวเลือกในการบอกลาคาเฟอีนได้นะ
1. ค่อย ๆ ลดกาแฟลง
สำหรับคนที่ติดกาแฟ อาจจะสามารถดื่มได้มากถึงวันละ 3-4 แก้ว แน่นอนล่ะว่านั่นไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ถ้าหากหักดิบไปเลยด้วยการเลิกดื่มกาแฟในทันที บอกได้เลยว่าอาจจะยิ่งแย่กว่าเดิมเสียอีก อาจเกิดอาการลงแดงกาแฟได้ เพราะคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟนั้นออกฤทธิ์ใกล้เคียงกับยาเสพติด แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า บางคนอาจจะมีอาการง่วงเหงาหาวนอน เศร้าซึม ไม่มีสมาธิ บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นอาเจียนเลยก็เป็นได้
ดังนั้นจึงควรค่อย ๆ ลดปริมาณลงจะดีกว่า โดยเริ่มจากการลดการดื่มกาแฟ และหาเครื่องดื่มหรืออาหารอื่น ๆ มาทดแทนคาเฟอีนที่ขาดไป อย่างเช่น ดื่มชา โกโก้ หรือรับประทานช็อกโกแลต นอกจากจะช่วยทดแทนคาเฟอีนจากกาแฟได้แล้วก็ยังได้ประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย แต่ก็อย่ารับประทานมากเกินไปนะ ไม่อย่างนั้นก็จะทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนมากไป สุดท้ายก็เลิกกาแฟไม่ได้เสียที
1. ค่อย ๆ ลดกาแฟลง
สำหรับคนที่ติดกาแฟ อาจจะสามารถดื่มได้มากถึงวันละ 3-4 แก้ว แน่นอนล่ะว่านั่นไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ถ้าหากหักดิบไปเลยด้วยการเลิกดื่มกาแฟในทันที บอกได้เลยว่าอาจจะยิ่งแย่กว่าเดิมเสียอีก อาจเกิดอาการลงแดงกาแฟได้ เพราะคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟนั้นออกฤทธิ์ใกล้เคียงกับยาเสพติด แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า บางคนอาจจะมีอาการง่วงเหงาหาวนอน เศร้าซึม ไม่มีสมาธิ บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นอาเจียนเลยก็เป็นได้
ดังนั้นจึงควรค่อย ๆ ลดปริมาณลงจะดีกว่า โดยเริ่มจากการลดการดื่มกาแฟ และหาเครื่องดื่มหรืออาหารอื่น ๆ มาทดแทนคาเฟอีนที่ขาดไป อย่างเช่น ดื่มชา โกโก้ หรือรับประทานช็อกโกแลต นอกจากจะช่วยทดแทนคาเฟอีนจากกาแฟได้แล้วก็ยังได้ประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย แต่ก็อย่ารับประทานมากเกินไปนะ ไม่อย่างนั้นก็จะทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนมากไป สุดท้ายก็เลิกกาแฟไม่ได้เสียที
2. ใช้ยาแก้ปวด
ฮั่นแน่ ! อย่าเพิ่งคิดว่าจะเลิกกาแฟด้วยการรับประทานยาแก้ปวดนะ แต่เป็นการรับประทานยาแก้ปวดหัวเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวจากการเลิกกาแฟต่างหาก เพราะเมื่อเลิกดื่มกาแฟในทันทีก็มักจะมีอาการปวดหัวตามมา ซึ่งตรงนี้ล่ะค่ะที่ทำให้เลิกกาแฟไม่ได้เสียทีเพราะพอปวดหัวก็จะไปหากาแฟมาดื่ม ดังนั้นถ้าอยากเลิกดื่มกาแฟจริง ๆ แล้วมีอาการปวดหัวขึ้นมาจนทนไม่ไหว ก็ให้ทานยาแก้ปวดหัวบรรเทาอาการ จะได้ไม่ต้องหันกลับไปพึ่งกาแฟอีก
ทั้งนี้ข้อควรระวังในการใช้ยาแก้ปวดก็คือหากมีปัญหาเรื่องกรดไหลย้อน หรือเป็นโรคกระเพาะ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาในกลุ่มแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารได้ค่ะ
3. หาอย่างอื่นดื่มแทน
ต้องยอมรับว่าอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราติดกาแฟก็คือกลิ่น ฉะนั้นหากติดกาแฟและเลิกเท่าไรก็เลิกไม่ได้เสียที ลองเปลี่ยนจากดื่มกาแฟปกติเป็นการดื่มกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน (Decaffeinated coffee) ดูสิคะ ซึ่งกาแฟชนิดนี้ก็มีกลิ่นที่ใกล้เคียงกับกาแฟปกติ แต่จะไม่มีคาเฟอีนเท่านั้นเอง อาจจะดื่มคู่ไปกับกาแฟแบบปกติและเพิ่มสัดส่วนให้มากขึ้น แบบนั้นก็จะช่วยให้เลิกกาแฟได้เร็วขึ้น แต่ถ้าใครใจแข็งอยากหักดิบไปจริง ๆ เลยละก็ แนะนำให้หันมาดื่มชาสมุนไพร หรือน้ำอุ่น ๆ แทน แบบนี้ก็จะช่วยแก้นิสัยชอบดื่มเครื่องดื่มร้อน ๆ ได้ดีเลยล่ะ
ฮั่นแน่ ! อย่าเพิ่งคิดว่าจะเลิกกาแฟด้วยการรับประทานยาแก้ปวดนะ แต่เป็นการรับประทานยาแก้ปวดหัวเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวจากการเลิกกาแฟต่างหาก เพราะเมื่อเลิกดื่มกาแฟในทันทีก็มักจะมีอาการปวดหัวตามมา ซึ่งตรงนี้ล่ะค่ะที่ทำให้เลิกกาแฟไม่ได้เสียทีเพราะพอปวดหัวก็จะไปหากาแฟมาดื่ม ดังนั้นถ้าอยากเลิกดื่มกาแฟจริง ๆ แล้วมีอาการปวดหัวขึ้นมาจนทนไม่ไหว ก็ให้ทานยาแก้ปวดหัวบรรเทาอาการ จะได้ไม่ต้องหันกลับไปพึ่งกาแฟอีก
ทั้งนี้ข้อควรระวังในการใช้ยาแก้ปวดก็คือหากมีปัญหาเรื่องกรดไหลย้อน หรือเป็นโรคกระเพาะ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาในกลุ่มแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารได้ค่ะ
3. หาอย่างอื่นดื่มแทน
ต้องยอมรับว่าอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราติดกาแฟก็คือกลิ่น ฉะนั้นหากติดกาแฟและเลิกเท่าไรก็เลิกไม่ได้เสียที ลองเปลี่ยนจากดื่มกาแฟปกติเป็นการดื่มกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน (Decaffeinated coffee) ดูสิคะ ซึ่งกาแฟชนิดนี้ก็มีกลิ่นที่ใกล้เคียงกับกาแฟปกติ แต่จะไม่มีคาเฟอีนเท่านั้นเอง อาจจะดื่มคู่ไปกับกาแฟแบบปกติและเพิ่มสัดส่วนให้มากขึ้น แบบนั้นก็จะช่วยให้เลิกกาแฟได้เร็วขึ้น แต่ถ้าใครใจแข็งอยากหักดิบไปจริง ๆ เลยละก็ แนะนำให้หันมาดื่มชาสมุนไพร หรือน้ำอุ่น ๆ แทน แบบนี้ก็จะช่วยแก้นิสัยชอบดื่มเครื่องดื่มร้อน ๆ ได้ดีเลยล่ะ
4. ดื่มน้ำเยอะ ๆ
การดื่มน้ำเยอะ ๆ นอกจากจะดีต่อร่างกายแล้วยังช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกายได้อีกด้วย ซึ่งมีการศึกษาพบว่าการดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยทำให้คนที่มีภาวะติดคาเฟอีนนั้นไม่มีอาการขาดสมาธิ หรือไร้ผลข้างเคียงจากการเลิกดื่มกาแฟได้อีกด้วย นอกจากนี้ประโยชน์จากการดื่มน้ำก็ยังมีอีกเพียบ รู้แบบนี้ก็หันมาดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ ดีกว่านะ
5. รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ
อาหารเพื่อสุขภาพนั้นไม่จำเป็นต้องรับประทานแค่ตอนเลิกกาแฟหรอกค่ะ จริง ๆ แล้วจะทานเมื่อไรก็มีประโยชน์มากด้วยกันทั้งนั้น แต่ที่อยากให้รับประทานมากขึ้นในช่วงที่เลิกดื่มกาแฟก็เพราะว่าอาหารบางชนิดมีแร่ธาตุและวิตามินที่ช่วยบำรุงร่างกาย ลดอาการอ่อนเพลียได้ และจะให้ดีก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารหนัก ๆ ที่มีไขมันสูง เพราะอาหารเหล่านั้นจะทำให้คุณรู้สึกง่วง และทำให้คุณต้องหันกลับมาพึ่งกาแฟ ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง อย่างเช่น ผัก ผลไม้ หรือธัญพืชจะดีที่สุด แต่ก็ควรจะรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะนะคะ ไม่อย่างนั้นอิ่มมาก ๆ อาจจะทำให้อ้วน อีกทั้งผลไม้บางชนิดก็อาจจะทำให้อ้วนได้
6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ในช่วงที่เลิกกาแฟนั้น อีกอาการหนึ่งที่มักจะเจอก็คืออาการอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง และการออกกำลังกายก็เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีเลยล่ะ ใครที่คิดว่ายิ่งเพลีย ๆ แล้วไปออกกำลังกายจะยิ่งทำให้เหนื่อย บอกเลยว่าคิดผิด เพราะการออกกำลังกายสามารถช่วยลดอาการอ่อนเพลีย และช่วยให้ร่างกายสดชื่น มีแรงมากขึ้น เพราะการออกกำลังกายจะไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ดีต่อสุขภาพ แต่ก็ควรเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอจะดีกว่านะคะ เพราะการออกกำลังกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อ เช่น วิดพื้น ยกน้ำหนัก หรือเวทเทรนนิ่งต่าง ๆ อาจจะทำให้เกิดแรงดันในร่างกายมากขึ้นในอวัยวะบริเวณช่องท้องและอาจจะทำให้เกิดอาการอย่างเช่นกรดไหลย้อนได้ค่ะ
7. เลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และลดการสูบบุหรี่
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์กดประสาท ยิ่งคนติดกาแฟไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้อาการเลวร้ายลง เพราะทุกครั้งที่คุณดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ วันรุ่งขึ้นคุณจะรู้สึกอยากดื่มกาแฟมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นถ้าไม่อยากติดกาแฟไปตลอดชีวิต ช่วงที่คุณกำลังเลิกกาแฟก็งดดื่มแอลกอฮอล์จะดีกว่า และถ้าจะให้การเลิกดื่มกาแฟได้ผลก็ควรลดการสูบบุหรี่ไปด้วยจะทำให้ได้ผลดีกว่าเดิม
8. มองหากิจกรรมผ่อนคลายสมอง
ต้องยอมรับเลยว่าคนที่เลิกดื่มกาแฟต้องเจอกับอาการสมองตื้อหรือไม่มีสมาธิ อีกทั้งยังอาจจะทำให้เกิดความเครียดมากขึ้น ดังนั้นลองมองหากิจกรรมผ่อนคลายสมองดูเสียหน่อยก็น่าจะดี ไม่ว่าจะเป็นการนวด ฝึกโยคะ หรือทำสมาธิ กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้คุณผ่อนคลายลงได้เหมือนกับการดื่มกาแฟ และช่วยทำให้คุณมีสมาธิมากขึ้น สามารถโฟกัสกับงานได้โดยที่ไม่ต้องมีกาแฟวางอยู่ใกล้ ๆ เลยล่ะคะ
9. มื้อเช้าห้ามขาด
อย่าปฏิเสธเลยว่ามื้อเช้าของใครบางคนนั้นมีแค่เพียงกาแฟถ้วยเดียว นั่นน่ะไม่ใช่มื้อเช้าเลยนะจะบอกให้ ใครที่อยากจะเลิกกาแฟอย่างจริงจัง แค่เพียงคุณรับประทานอาหารเช้าอย่างเพียงพอ ก็ช่วยลดความอยากกาแฟไปได้เยอะเลยล่ะ เพราะเมื่อร่างกายได้รับอาหารอย่างเพียงพอ สมองก็จะได้รับน้ำตาลจากอาหารเพียงพอด้วยเช่นกัน และเมื่อสมองทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เราก็ไม่จำเป็นต้องดื่มกาแฟแล้วล่ะค่ะ
10. นอนหลับให้เพียงพอ
อาการอ่อนเพลียและง่วงเหงาหาวนอน แม้จะบรรเทาลงได้ด้วยการดื่มกาแฟ แต่การนอนหลับอย่างเพียงพอก็ดีกว่าเห็น ๆ เพราะการดื่มกาแฟนั้นก็ทำได้แค่เพียงกระตุ้นสมองและร่างกายได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น หากคุณนอนหลับไม่เพียงพอยังไงร่างกายก็ยังอ่อนเพลียเหมือนเดิมอยู่ดี ฉะนั้นถ้าอยากจะหันหลังให้เจ้ากาแฟจริง ๆ แค่ปรับเปลี่ยนเวลานอนให้เพียงพอจะดีกว่า โดยควรนอนหลับอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง และควรหลีกเลี่ยงการงีบหลับระหว่างวันเพราะอาจจะยิ่งทำให้เพลียหนักกว่าเดิมค่ะ
ไม่ใช่วิธีที่ยากเลยใช่ไหมล่ะคะกับการเลิกติดกาแฟ แค่เราจะต้องมีวินัยกับตัวเอง และใจแข็งให้ได้ หากคุณสามารถเลิกกาแฟได้ บอกเลยว่าดีกับสุขภาพอย่างคาดไม่ถึงเลยนะ ที่สำคัญคุณจะลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจากการดื่มกาแฟไปได้มากโขเลยเชียวล่ะ ใครที่กำลังเลิกกาแฟอยู่ ก็สู้ ๆ นะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สสส.
health.com
wikihow.com
อาหารเพื่อสุขภาพนั้นไม่จำเป็นต้องรับประทานแค่ตอนเลิกกาแฟหรอกค่ะ จริง ๆ แล้วจะทานเมื่อไรก็มีประโยชน์มากด้วยกันทั้งนั้น แต่ที่อยากให้รับประทานมากขึ้นในช่วงที่เลิกดื่มกาแฟก็เพราะว่าอาหารบางชนิดมีแร่ธาตุและวิตามินที่ช่วยบำรุงร่างกาย ลดอาการอ่อนเพลียได้ และจะให้ดีก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารหนัก ๆ ที่มีไขมันสูง เพราะอาหารเหล่านั้นจะทำให้คุณรู้สึกง่วง และทำให้คุณต้องหันกลับมาพึ่งกาแฟ ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง อย่างเช่น ผัก ผลไม้ หรือธัญพืชจะดีที่สุด แต่ก็ควรจะรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะนะคะ ไม่อย่างนั้นอิ่มมาก ๆ อาจจะทำให้อ้วน อีกทั้งผลไม้บางชนิดก็อาจจะทำให้อ้วนได้
6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ในช่วงที่เลิกกาแฟนั้น อีกอาการหนึ่งที่มักจะเจอก็คืออาการอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง และการออกกำลังกายก็เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีเลยล่ะ ใครที่คิดว่ายิ่งเพลีย ๆ แล้วไปออกกำลังกายจะยิ่งทำให้เหนื่อย บอกเลยว่าคิดผิด เพราะการออกกำลังกายสามารถช่วยลดอาการอ่อนเพลีย และช่วยให้ร่างกายสดชื่น มีแรงมากขึ้น เพราะการออกกำลังกายจะไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ดีต่อสุขภาพ แต่ก็ควรเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอจะดีกว่านะคะ เพราะการออกกำลังกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อ เช่น วิดพื้น ยกน้ำหนัก หรือเวทเทรนนิ่งต่าง ๆ อาจจะทำให้เกิดแรงดันในร่างกายมากขึ้นในอวัยวะบริเวณช่องท้องและอาจจะทำให้เกิดอาการอย่างเช่นกรดไหลย้อนได้ค่ะ
7. เลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และลดการสูบบุหรี่
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์กดประสาท ยิ่งคนติดกาแฟไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้อาการเลวร้ายลง เพราะทุกครั้งที่คุณดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ วันรุ่งขึ้นคุณจะรู้สึกอยากดื่มกาแฟมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นถ้าไม่อยากติดกาแฟไปตลอดชีวิต ช่วงที่คุณกำลังเลิกกาแฟก็งดดื่มแอลกอฮอล์จะดีกว่า และถ้าจะให้การเลิกดื่มกาแฟได้ผลก็ควรลดการสูบบุหรี่ไปด้วยจะทำให้ได้ผลดีกว่าเดิม
8. มองหากิจกรรมผ่อนคลายสมอง
ต้องยอมรับเลยว่าคนที่เลิกดื่มกาแฟต้องเจอกับอาการสมองตื้อหรือไม่มีสมาธิ อีกทั้งยังอาจจะทำให้เกิดความเครียดมากขึ้น ดังนั้นลองมองหากิจกรรมผ่อนคลายสมองดูเสียหน่อยก็น่าจะดี ไม่ว่าจะเป็นการนวด ฝึกโยคะ หรือทำสมาธิ กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้คุณผ่อนคลายลงได้เหมือนกับการดื่มกาแฟ และช่วยทำให้คุณมีสมาธิมากขึ้น สามารถโฟกัสกับงานได้โดยที่ไม่ต้องมีกาแฟวางอยู่ใกล้ ๆ เลยล่ะคะ
9. มื้อเช้าห้ามขาด
อย่าปฏิเสธเลยว่ามื้อเช้าของใครบางคนนั้นมีแค่เพียงกาแฟถ้วยเดียว นั่นน่ะไม่ใช่มื้อเช้าเลยนะจะบอกให้ ใครที่อยากจะเลิกกาแฟอย่างจริงจัง แค่เพียงคุณรับประทานอาหารเช้าอย่างเพียงพอ ก็ช่วยลดความอยากกาแฟไปได้เยอะเลยล่ะ เพราะเมื่อร่างกายได้รับอาหารอย่างเพียงพอ สมองก็จะได้รับน้ำตาลจากอาหารเพียงพอด้วยเช่นกัน และเมื่อสมองทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เราก็ไม่จำเป็นต้องดื่มกาแฟแล้วล่ะค่ะ
10. นอนหลับให้เพียงพอ
อาการอ่อนเพลียและง่วงเหงาหาวนอน แม้จะบรรเทาลงได้ด้วยการดื่มกาแฟ แต่การนอนหลับอย่างเพียงพอก็ดีกว่าเห็น ๆ เพราะการดื่มกาแฟนั้นก็ทำได้แค่เพียงกระตุ้นสมองและร่างกายได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น หากคุณนอนหลับไม่เพียงพอยังไงร่างกายก็ยังอ่อนเพลียเหมือนเดิมอยู่ดี ฉะนั้นถ้าอยากจะหันหลังให้เจ้ากาแฟจริง ๆ แค่ปรับเปลี่ยนเวลานอนให้เพียงพอจะดีกว่า โดยควรนอนหลับอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง และควรหลีกเลี่ยงการงีบหลับระหว่างวันเพราะอาจจะยิ่งทำให้เพลียหนักกว่าเดิมค่ะ
ไม่ใช่วิธีที่ยากเลยใช่ไหมล่ะคะกับการเลิกติดกาแฟ แค่เราจะต้องมีวินัยกับตัวเอง และใจแข็งให้ได้ หากคุณสามารถเลิกกาแฟได้ บอกเลยว่าดีกับสุขภาพอย่างคาดไม่ถึงเลยนะ ที่สำคัญคุณจะลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจากการดื่มกาแฟไปได้มากโขเลยเชียวล่ะ ใครที่กำลังเลิกกาแฟอยู่ ก็สู้ ๆ นะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สสส.
health.com
wikihow.com