ฟื้นคืนชีพ! 9 วิธีการ ทำให้โทรศัทพ์ตกน้ำกลับมาใช้งานได้

เรียกได้ว่าหลายๆคนอาจเคยเจอกับเหตุการณ์ต่างๆที่แบบไม่คาดคิด ที่เกิดขึ้นกับโทรศัพท์มือถือของเราแบบตั้งตัวไม่ทันอย่างเช่นโทรศัทพ์เปียกน้ำ ในตอนนั้นทั้งตกใจทั้งงงทำอะไรไม่ถูกเลยใช่มั้ยหละคะ กลัวยิ่งทำจะยิ่งไปกันใหญ่ วันนี้เราจึงนำ 9 วิธีการ ทำให้โทรศัทพ์ตกน้ำกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง แบบไม่ต้องไปส่งซ่อม หรือเรียกได้ว่าเป็นการปฐมพยาบาลโทรศัพท์เบื้องต้นยังไงหละคะ หลายๆคนอยากรู้กันแล้วใช่มั้ยเดี๋ยวไปดูกันเลยค่ะ

1.หยิบโทรศัพท์มือถือออกจากน้ำทันที

ช่องต่อสำหรับอุปกรณ์แฮนด์ฟรี, รูเล็กๆ สำหรับไมโครโฟน, สายชาร์จ, สาย USB และฝาครอบพลาสติกบนโทรศัพท์มือถือนั้นแม้ว่าจะปิดสนิทแค่ไหน น้ำก็สามารถไหลผ่านช่องพวกนี้เข้าไปโทรศัพท์ได้เพียงไม่กี่วินาที ให้หยิบโทรศัพท์มือถือของคุณขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และปิดเครื่องทันที เนื่องจากการปล่อยให้เครื่องทำงานอาจทำให้เกิดการลัดวงจรได้ ถ้าหากโทรศัพท์ตกลงไปในน้ำ ให้คิดไว้ก่อนว่าอุปกรณ์ของคุณเปียกน้ำแล้วไม่ว่าเครื่องจะยังคงทำงานได้อยู่หรือเปล่า

การปล่อยให้โทรศัพท์จมอยู่ในน้ำนานๆ อย่างเช่นการปั่นอยู่ในเครื่องซักผ้า จะยิ่งทำให้เกิดความเสียหายมากขึ้น การพยายามทำตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อช่วยให้โทรศัพท์กลับมาใช้งานได้ แทนที่จะยอมแพ้เสียก่อนนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าเสียหายอะไร

– การรีบแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วสามารถทำให้คุณปกป้องมือถือของคุณจากความเสียหายที่เกิดจากน้ำได้ อย่างไรก็ตาม อย่าตื่นตระหนกไป การมีสติเป็นกุญแจสำคัญในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้สถานการณ์กดดัน

-ถ้าโทรศัพท์เสียบอยู่กับที่ชาร์จแบตแบบติดผนังและจมอยู่ใต้น้ำ ห้ามหยิบโทรศัพท์ออกจากน้ำเด็ดขาด ให้เรียกหาผู้เชี่ยวชาญทันทีเพื่อสอบถามวิธีการที่เหมาะสมในการนำโทรศัพท์มือถือออกมาจากน้ำอย่างปลอดภัย (เช่น ปิดสวิตช์ไฟหลัก หรือการกระทำที่คล้ายๆ กัน) ไฟฟ้าและน้ำไม่ใช่ส่วนผสมที่ดีและอาจทำให้เกิดไฟฟ้าช็อตได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าโทรศัพท์มือถือของคุณไม่ได้เสียบอยู่กับที่ชาร์จแบตแบบติดผนัง แต่หล่นลงไปในน้ำ ให้หยิบมือถือขึ้นมาจากน้ำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทำตามขั้นตอนถัดไป

2. หลังจากที่เรานำโทรศัพท์ออกมาจากน้ำได้แล้ว

ให้รีบหากระดาษทิชชู่หรือผ้าขนหนูมาใช้รองโทรศัพท์ขณะที่คุณถอดฝาครอบแบตเตอรี่และแบตเตอรี่ออก ขั้นตอนนี้เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่มีความสำคัญมากในการทำให้โทรศัพท์กลับมาใช้งานได้ วงจรต่างๆ ที่อยู่ในโทรศัพท์จะมีชีวิตรอดจากการจมอยู่ในน้ำได้ถ้าหากวงจรเหล่านั้นไม่ได้ต่อเข้ากับแหล่งจ่ายไฟ (แบตเตอรี่) ขณะเปียกน้ำ

-สำหรับการตรวจดูว่าโทรศัพท์เสียหายจากการโดนน้ำจริงๆ หรือไม่ ให้ดูที่มุมที่อยู่ใกล้ๆ กับช่องใส่แบตเตอรี่ คุณควรจะเห็นสี่เหลี่ยมหรือวงกลมสีขาวอยู่ที่จุดนี้ โดยจะมีหรือไม่มีขีดสีแดงก็ได้ ถ้าจุดตรงนี้เป็นสีชมพูหรือสีแดง แสดงว่ามีความเสียหายจากน้ำเกิดขึ้นกับโทรศัพท์ของคุณ

-รีบอ่านคู่มือที่มากับโทรศัพท์ของคุณ ถ้าไม่แน่ใจว่าจะถอดแบตเตอรี่ออกอย่างไร

3.ถอดซิมการ์ดออก

รายชื่อผู้ติดต่ออันมีค่าของคุณบางส่วนหรือทั้งหมด (รวมถึงข้อมูลอื่นๆ) อาจถูกเก็บไว้ในซิม สำหรับบางคนแล้ว ข้อมูลเหล่านี้อาจมีค่าและคู่ควรแก่การรักษามากกว่าตัวเครื่องโทรศัพท์เสียอีก ซิมการ์ดมักจะกลับมาใช้งานได้แม้ว่าจะเปียกน้ำ แต่การรีบถอดซิมออกมาทันทีก็ดูสมเหตุสมผล ให้ซับให้แห้งและวางผึ่งไว้จนกว่าคุณจะเชื่อมต่อโทรศัพท์กับเครือข่ายมือถืออีกครั้ง

4.ถอดอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ ออกให้หมด เช่น หูฟัง การ์ดหน่วยความจำ รวมถึงเคสมือถือหรือปลอกกันกระแทก ถอดปลั๊กทั้งหมดที่ปิดรู ช่องต่อ หรือร่องต่างๆ ในโทรศัพท์ เพื่อให้อากาศเข้าถึงและทำให้แห้งได้

5.ใช้เศษผ้านุ่มๆ หรือผ้าขนหนูซับโทรศัพท์ให้แห้ง

ถ้าหากด้านในโทรศัพท์ยังมีน้ำเหลืออยู่แม้เพียงหนึ่งหยด น้ำหยดนี้ก็สามารถสร้างความเสียหายให้แก่โทรศัพท์ของคุณได้โดยการกัดกร่อนและทำให้วงจรเป็นสนิมหรือลัดวงจร คุณจึงจำเป็นต้องซับน้ำออกให้มากที่สุดและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำซึมเข้าไปในโทรศัพท์มือถือ:

-ค่อยๆ เช็ดน้ำออกให้ได้มากที่สุดโดยไม่ทำให้โทรศัพท์หลุดมือ หลีกเลี่ยงการเขย่าหรือเคลื่อนไหวโทรศัพท์เกินจำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำไหลผ่านเข้าไป

-ใช้ผ้าขนหนูหรือกระดาษทิชชู่เช็ดน้ำออก พยายามอย่าให้กระดาษเข้าไปอุดในช่องหรือร่องของโทรศัพท์ ให้ค่อยๆ เช็ดไปเรื่อยๆ เพื่อซับน้ำที่เหลือออกให้ได้มากที่สุด

-ถ้าคุณถอดแบตเตอรี่ออกทัน การใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดด้านในของโทรศัพท์จะช่วยกำจัดน้ำออกไปได้ ซึ่งแค่นั้นก็แก้ปัญหาได้แล้ว

6.ใช้เครื่องดูดฝุ่น

ถ้าคุณอยากจะลองดูดของเหลวออกจากชิ้นส่วนภายในโทรศัพท์มือถือ ให้ลองใช้เครื่องดูดฝุ่น หากมีเครื่องอยู่ใกล้ๆ กำจัดความชื้นที่ค้างอยู่ทั้งหมดออกด้วยการดูดมันออกมาจากโทรศัพท์ โดยให้ถือเครื่องดูดฝุ่นเหนือบริเวณที่มีความชื้นเป็นเวลานาน 20 นาที ในแต่ละตำแหน่งที่เข้าถึงได้

-วิธีนี้เป็นวิธีที่เร็วที่สุดแล้ว และสามารถทำให้โทรศัพท์ของคุณแห้งสนิทและกลับมาใช้งานได้ภายใน 30 นาที อย่างไรก็ตาม เว้นเสียแต่ว่าโทรศัพท์ของคุณจะโดนน้ำเพียงแค่แป๊บเดียวเท่านั้น เราไม่แนะนำให้คุณรีบเปิดเครื่องภายในเวลาเท่านี้

-ระวังอย่าถือเครื่องดูดฝุ่นใกล้โทรศัพท์มือถือเกินไป เนื่องจากเครื่องดูดฝุ่นสามารถสร้างไฟฟ้าสถิตย์ได้ ซึ่งเลวร้ายต่อโทรศัพท์ยิ่งกว่าน้ำเสียอีก

7.ใช้สารที่มีความสามารถในการจับตัวสูงในการดึงความชื้นออก

วิธีที่ไม่เปลืองเงินมากนักก็คือให้วางโทรศัพท์ลงในชามหรือถุงข้าวสารข้ามคืน ซีเรียลข้าวพอง หรือใช้กระดาษทิชชู่คลุมโทรศัพท์ไว้ก็ได้เช่นกัน ข้าวสารอาจช่วยดูดซับความชื้นที่ค้างอยู่ได้

-ถ้ามี แนะนำให้ใช้สารดูดความชื้นแทน สารดูดความชื้นอาจดูดซับความชื้นได้ดีกว่าข้าวสาร นอกจากนี้ คุณยังสามารถลองใส่โทรศัพท์มือถือลงในถุงพลาสติกที่สามารถซีลปากถุงได้หรือกล่องพลาสติก (สุญญากาศ) ใส่ซองสารดูดความชื้น เช่น ซิลิกาเจล ลงไปพร้อมกับมือถือ ข้อเสียของวิธีนี้ก็คือซองกันความชื้นที่มาพร้อมกับรองเท้ามักจะถึงจุดสูงสุดในการดูดซับความชื้นแล้ว สารดูดความชื้นสำหรับทำดอกไม้แห้งสามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าอุปกรณ์งานประดิษฐ์ส่วนใหญ่ ทิ้งโทรศัพท์ไว้กับสารดูดความชื้นหรือข้าวสารให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ (อย่างน้อยหนึ่งคืน) เพื่อให้ดูดซับความชื้นออกไป

-กลับด้านโทรศัพท์ให้ต่างจากตำแหน่งเดิมทุกๆ ชั่วโมงจนกว่าคุณจะเข้านอน การทำเช่นนี้จะช่วยให้น้ำที่ค้างอยู่ด้านในได้ไหลลงมาและเจอรูที่จะไหลออกมาได้ในที่สุด

8.วางโทรศัพท์ลงบนผ้าขนหนู, กระดาษทิชชู่ หรือกระดาษอื่นๆ ที่ซับน้ำได้ดี. หลังจากนำโทรศัพท์ออกจากข้าวสารหรือสารดูดความชื้น (หรือถ้าคุณไม่สามารถใช้วิธีใดวิธีหนึ่งได้) ให้วางมือถือลงบนวัตถุที่ซับน้ำได้ดีในแนวราบ จำไว้ว่าเป้าหมายคือเพื่อดูดน้ำและความชื้นออกจากอุปกรณ์

ตรวจดูวัตถุที่ใช้ดูดซับความชื้นทุกๆ ชั่วโมงเป็นเวลา 4 ถึง 6 ชั่วโมง ถ้ายังคงมีความชื้นเหลืออยู่ ให้ทำซ้ำขั้นตอนที่ใช้เครื่องดูดฝุ่นและสารดูดความชื้นอีกรอบ

9.ทดสอบการทำงานของโทรศัพท์

หลังจากที่คุณรออย่างน้อย 24 ชั่วโมง หรือนานกว่านั้นหากจำเป็น ให้ตรวจดูว่าพื้นที่แต่ละแห่งของโทรศัพท์มือถือนั้นสะอาดและดูแห้งดีแล้ว ตรวจสอบช่องต่อ, ส่วนต่างๆ และร่องทั้งหมดว่ามีความชื้นหรือสิ่งสกปรกหรือไม่ เช็ดฝุ่นและคราบสกปรกออกจากอุปกรณ์และฝาครอบ แล้วเสียบแบตเตอรี่บนโทรศัพท์มือถือ ลองเปิดเครื่องแล้วคอยฟังว่ามีเสียงแปลกๆ หรือไม่ และคอยดูว่าโทรศัพท์ทำงานถูกต้องหรือเปล่า

และสิ่งต้องห้ามที่เราเข้าใจผิดมาตลอดว่าโทรศัพท์ตกน้ำต้องใช้ไดร์เป่าผม (แนะนำว่าอย่าใช้เครื่องเป่าผมในการทำให้โทรศัพท์แห้ง)

ตรงกันข้ามกับคำแนะนำที่ได้ยินกันบ่อยๆ การใช้เครื่องเป่าผม (แม้แต่โหมด “ลมเย็น”) ไม่ใช่วิธีที่แนะนำ การใช้เครื่องเป่าผมอาจทำให้ความชื้นเคลื่อนเข้าสู่ร่องต่างๆ ไปถึงชิ้นส่วนไฟฟ้าที่อยู่ลึกด้านในโทรศัพท์มือถือได้ และถ้าลมจากเครื่องเป่าผมนั้นร้อนเกินไป อาจทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้:

-ถ้าความชื้นถูกเคลื่อนลึกเข้าไปด้านใน การกัดกร่อนจนเกิดสนิมและปฏิกิริยาออกซิเดชันอาจเกิดขึ้นได้เมื่อแร่ธาตุจากน้ำไปเกาะกันอยู่บนวงจรไฟฟ้า ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติกับชิ้นส่วนภายในโทรศัพท์ในเวลาต่อมาได้

-ในขณะที่หลีกเลี่ยงการเป่าลมเข้าไปในโทรศัพท์ ในทางกลับกัน การใช้ฮีทเตอร์ พัดลม หรืออุปกรณ์เป่าลมอื่นๆ ในการเป่าลมข้ามช่องของโทรศัพท์จะช่วยให้มือถือแห้งเร็วขึ้นได้ ทฤษฎีของเบอร์นูลี่ กล่าวไว้ว่า ในขณะที่ลมอุ่นแห้งเคลื่อนอย่างรวดเร็วเหนือโทรศัพท์ แรงดันอากาศที่ลดลงจะค่อยๆ ดึงหรือดูดความชื้นออกจากโทรศัพท์ ข้อดีของวิธีนี้ก็คือว่าคุณสามารถวางโทรศัพท์ทิ้งไว้หน้าลมอุ่นๆ ที่กำลังพัดได้หลายชั่วโมงโดยไม่ต้องเหนื่อย

เป็นยังไงกันบ้างหละคะ ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนไม่อย่างนั้นอาจทำให้โทรศัพท์ของเราพังหนักกว่าเดิมได้ ควรดูข้อห้ามแล้วสิ่งที่จะทำร้ายโทรศัพท์เสียก่อน โดยเคล็ดลับที่เรานำมาฝากในวันนี้จะช่วยคุณ ทำตามวิธีของเราให้ครบ และถ้ายังเปิดไม่ติดแนะนำให้ส่งเครื่องเข้าศูยน์ อย่าแกะหรือไขเครื่องเองเด็ดขาด หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อทุกคนนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : th.wikihow

#1แชร์=1ธรรมทาน แชร์ไปได้บุญ สร้างกุศลความดี

#ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆคน อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวน๊า!! อย่าลืมส่งให้คนที่คุณรัก ได้อ่านด้วยนะคะ