Home »
ทั่วไป
»
คาถาเรียกเงินทอง ท่องก่อนนอนทุกวัน คาถา “หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา”ลพบุรี
คาถาเรียกเงินทอง ท่องก่อนนอนทุกวัน คาถา “หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา”ลพบุรี
คาถาเรียกเงินทอง ท่องก่อนนอนทุกวัน คาถา “หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา”ลพบุรี
“โอมละลวย มหาละลวย มะอะอุ สิวังพรหมา จิตตังมานิมามา ทองหนึ่งทอง ทองสองทอง โอมมหาจินดา เงินทองไหลมานิมามา”
พระคาถานี้ให้ท่องทุกวันก่อนนอน ระลึกถึงบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์
และหลวงพ่อกบเจ้าของคาถา ห้ามลักทรัพย์อย่างเด็ดขาด แล้วคาถาจึงขลัง
“ทองหนึ่ง หนึ่งทอง”
(ให้บริกรรมภาวนาไปเรื่อย ๆ จนจิตสงบ)
หมายเหตุ
หลวงพ่อกบท่านจะท่องคำว่า “ทองหนึ่ง” ท่านจะท่องสับไปสับมาว่า “ทองหนึ่ง หนึ่งทอง” หมายถึง การรวมจิตเป็นหนึ่ง
ทองหนึ่ง หมายถึง หนึ่ง คือ หนึ่งไม่มีสอง เปรียบเสมือนทอง
ยังไงก็เป็นทองวันยันค่ำ หรือเปรียบเสมือน “ธรรมะ”
คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่หนึ่งในโลก
ไม่ว่ากาลเวลาผ่านพ้นไปเท่าใดก็ยังคงเป็นที่หนึ่งเสมอนั่นเอง
ที่มาของนาม “ หลวงพ่อกบ ” หลวงพ่อกบ จำพรรษาอยู่ที่วัดเขาสาริกา
ผ่านไปหลายปี ชื่อเสียงของท่านโด่งดังมาก ครั้งหนึ่งช่วงออกพรรษาปี
พ.ศ.ใดไม่ชัดเจน มีกฐินจากกรุงเทพฯ มาทอดที่วัดภายหลังเสร็จสิ้น
จากพิธีถวายกฐิน ญาติโยมจากกรุงเทพฯ จำนวนหนึ่งจำเป็นต้องค้างแรมที่วัด
หลวงพ่อท่านเมตตาให้ค้างแรมในกุฏิ คืนนั้นหลายคนนอนไม่หลับ
เพราะไม่ได้ทานข้าวเย็น
เนื่องจากที่วัดจัดให้มีไม่พอ เวลาผ่านไปประมาณ ๓ ทุ่ม
ก็บังเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาด ท้องฟ้าที่เคยแจ่มใส
พลันก็เกิดเมฆดำทะมึนก่อตัวขึ้น สักครู่เสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่า
พร้อมฝนห่าใหญ่ก็เทลงมา สายน้ำไหลเจิ่งนอง ประสานเสียงร้องของกบดังไปทั่ว
มองลงไปที่ลานหน้ากุฏิ เต็มไปด้วยกบตัวใหญ่ๆ กระโดดโลดเต้นไปมา
“ พวกเอ็งหิวไหมว๊ะ ” เสียงเอ่ยถามของหลวงพ่อ ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน
” หิวขอรับ ” “ ถ้างั้นเอ็งรอเดี๋ยว กูจะลงไปแทงกบมาให้พวกเอ็งทำต้มยำกิน ”
ว่าแล้วท่านก็คว้าฉมวกลงกุฏิไปอย่างรวดเร็ว
พวกเขามองตามลงไปเห็นหลวงพ่อกำลังใช้ฉมวกทิ่มแทงกบตัวแล้วตัวเล่า อนิจจา!!!
ศรัทธาของพวกเขาเริ่มเหือดหายไป แต่ด้วยความหิว
คืนนั้นต้มยำกบหม้อใหญ่ก็ถูกกินจนเกือบหมดเช้าวันรุ่งขึ้น
มีคนหนึ่งสงสัยว่า ต้มยำกบที่เขากินเมื่อคืนเป็นกบจริงๆ หรือเปล่า
เขาจึงย่องเข้าไปดูในโรงครัว เมื่อเปิดฝาหม้อดู เขาก็ต้องผงะ
ตกตะลึงด้วยความอัศจรรย์ใจ ด้วยว่า สิ่งที่เห็นอยู่ในหม้อหาใช่กบไม่
แต่เป็นยอดกระถิน และใบมะขามอยู่เกือบครึ่งค่อนหม้อ
เหตุการณ์นี้ถูกนำมาเล่าต่อๆ กันมาว่า
หลวงพ่อท่านสร้างปาฏิหาริย์เสกใบไม้ให้กลายเป็นกบ
จนกลายมาเป็นที่มาของนามท่าน “ หลวงพ่อกบ ”
มูลเหตุแห่งความศรัทธา ด้วยปฏิปทาอันแปลกประหลาดของหลวงพ่อกบ
รวมทั้งปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ หลวงพ่อกบ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่น่าฉงน
และไม่สามารถหาคำอธิบายได้ เป็นมูลเหตุแห่งความศรัทธา
ที่คนทั่วไปเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า หลวงพ่อกบ
ท่านเป็นผู้ทรงศีลที่มีฌานสมาบัติขั้นสูง และมีพลังเร้นลับ
สามารถทำในสิ่งที่คนทั่วไปยากที่จะเข้าใจได้จึงขอนำเรื่องราวดังกล่าว
มาเล่าสู่กันฟังพอสังเขป
ปกติหลวงพ่อกบ จะบำเพ็ญเพียรภาวนาในท่านั่งยองๆ เป็นเวลายาวนานติดต่อกัน
คราวละ ๗ – ๑๕ วัน โดยที่ท่านไม่ลุกไปไหนเลย ไม่ฉันอาหาร น้ำ
หรือแม้แต่การถ่ายหนักเบา เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
ซึ่งสร้างความอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นเข้าใจกันว่า
ปฏิปทาอันเหลือเชื่อของท่านเกิดขึ้นได้ เพราะท่านสามารถถอดจิตออกจากกายได้
ทำให้กายไม่รับรู้ต่อสภาพความหิว
และความเจ็บปวดใดๆ – นั่งท่ายองๆ ไม่ว่าจะสวดมนต์ หรือทำกิจวัตรใดๆ
และนอนตะแคงขวาเป็นประจำ – นุ่งสบงเก่าๆ ผืนเดียว ไม่ห่อจีวร
ที่คอแขวนลูกกระพรวน – อยู่แต่ในวัดไม่เคยเดินออกไปไหนเลย – ใช้น้ำชา
และต้มเครื่องเทศเป็นยารักษาโรค ชื่อเสียงของท่านถูกกล่าวขานปากต่อปาก
ผู้คนจำนวนมากมารับการรักษาจากท่าน
เป็นเรื่องที่ชี้ให้เห็นถึงปฏิปทาที่เต็มไปด้วยความเมตตาอย่างสูงของท่าน
ปรากฏการณ์แปลกประหลาด – มีผู้คนจากจังหวัดต่างๆ มานมัสการ
และทำบุญกับหลวงพ่อกบอย่างล้นหลามมิได้ขาดพวกเขาเหล่านั้นรู้จักหลวงพ่อได้อย่างไร
ทั้งๆ ที่หลวงพ่ออยู่แต่ในวัด และชาวบ้านเขาสาลิกาก็ไม่เคยออกไปแจกซองกฐิน
หรือซองผ้าป่าที่ไหนเลย ถนนหนทางเข้าวัดในขณะนั้นก็ยังไม่มี มันเป็นไป
ได้อย่างไร เมื่อสอบถามดูพวกเขาเหล่านั้นพูดทำนองเดียวกันว่า
ได้พบเห็นหลวงพ่อกบไปบิณฑบาตที่บ้านตน
ด้วยความศรัทธาจึงพากันติดตามถามหา จนมาพบท่าน
และทุกอย่างเป็นจริงตามที่หลวงพ่อกบบอกไว้ทุกประการ –
บ่อยครั้งมีผู้พบเห็นท่านในเวลาเดียวกันถึง๒แห่ง เชื่อกันว่า
ท่านสามารถถอดกายทิพย์ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ได้ – ”น้ำชา
และต้มเครื่องเทศ” สามารถทำให้โรคภัยไข้เจ็บของชาวบ้านหายได้อย่างไร
เป็นคำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้ เป็นไปได้ หรือไม่ ว่า หลวงพ่อกบ
ให้พลังจิตช่วยในการรักษา – พลังเมตตาบารมี หลวงพ่อกบ เป็นคนเฉยๆ
หากมีคนมานมัสการท่าน ท่านเพียงแต่เงยหน้าขึ้นมาดู ไม่ค่อยโอภาปราศรัยด้วย
แต่ก็เป็นเรื่องแปลกทุกคนที่มาหาท่านต่างยอมรับว่า รู้สึกศรัทธา
และปลื้มปีติสุข เมื่อได้พบกับหลวงพ่อกบ
หลวงพ่อกบ ท่านละสังขารเมื่อวันที่ ๑๗ธันวาคม
๒๔๙๖ในวันนั้นหลวงพ่อโอภาสีได้ขึ้นมาที่วัด
และรับเป็นประธานในงานเผาสรีระของท่าน หลวงพ่อโอภาสีทราบได้อย่างไร ?
ชาวบ้านต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ” ไม่มีใครส่งข่าวไปบอกท่าน”
เพราะหนทางไกล การคมนาคมสมัยนั้นลำบากมาก ในเรื่องนี้เข้าใจกันว่า
หลวงพ่อโอภาสี ท่านคงทราบได้ด้วยฌานเช่นเดียวกัน การละสังขารของหลวงพ่อกบ
ยังความโศกเศร้าเสียใจให้กับผู้คนจำนวนมาก
ทุกสิ่ง ทุกอย่างแห่งความดี และความเมตตาอารีของท่านยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเหล่าพุทธศาสนิกชนอย่างไม่มีวันลืม ตราบจนทุกวันนี้
ขอขอบคุณที่มาจาก : http://www.rak-sukapap.com/2019/02/blog-post_90.html