จั่วหัวไว้อย่างนั้น แต่มีรายละเอียดที่จะทำให้หลายๆ คนหายใจอย่างโล่งอก
เพราะถึงแม้การใช้ยาแก้ปวดจะช่วยรักษาอาการปวดต่างๆ
รวมทั้งเป็นทางหนึ่งในการแก้เมาค้าง
แต่ถ้ารับประทานมากเกินไปก็จะกลายเป็นผลเสียหรือเกิดอาการข้างเคียงตามมาได้
โดยทั่วไปผู้ชายกลัวโรคเซ็กซ์เสื่อมหรือหย่อนสมรรถทางเพศ เพราะนอกจากจะต้องทนทรมานกับความเจ็บปวด ยังทำให้เสียความมั่นใจ และเมื่อไม่นานนี้มีผลการวิจัยจากต่างประเทศออกมาว่า ยาแก้ปวดมีโอกาสทำให้นกเขาไม่ขันหรือเซ็กซ์เสื่อม
เว็บไซต์เดลี่ เมล ได้นำผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ Journal Spin มาเผยแพร่ โดยในเนื้อหาระบุว่า ผู้ชายที่รักษาอาการปวดหลังด้วยการรับประทานยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของสารโอปิออยด์ส (Opioids) ติดต่อกันตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป เสี่ยงต่อการเกิดโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานยาตัวนี้
โดยสารตัวนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับสารไฮโดรโคโดน ออกซิโคโดน และมอร์ฟีน เพราะมีผลโดยตรงกับระบบประสาท นิยมนำมาใช้เพื่อรักษาและบรรเทาอาการปวด ซึ่งผลการวิจัยกับผู้ป่วยกว่า 11,000 คน พบว่ากลุ่มผู้ใช้ยาส่วนใหญ่เป็นชายสูงวัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ดังนั้นจึงทำให้คนกลุ่มนี้เสี่ยงต่อการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
สาเหตุที่ทำให้ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยสุขภาพและวิทยาการโอเรกอน ออกมาเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เพราะต้องการเตือนให้ผู้จ่ายยาและผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วยการรับประทานยาชนิดนี้เพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น เนื่องจากผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเท่านั้น แต่อาจทำให้ผู้ป่วยเสพติดยาชนิดนี้ด้วย หากมีความจำเป็นต้องรักษาในระยะยาว
นอกจากนี้ผลการวิจัยยังระบุว่า อายุเป็นปัจจัยสำคัญและมีความเกี่ยวข้องด้วย เพราะคนที่ได้รับยาชนิดนี้จะอยู่ในช่วง 60-69 ปีเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ผู้ที่ใช้ยาระงับประสาท เช่น เบนโซไดอาเซปีนส์ ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้เช่นกัน
อย่างที่บอกว่ามีรายละเอียดอันเป็นปัจจัยหลัก นั่นคือตัวยาและอายุ ถ้ายังไม่แก่และยาแก้ปวดที่ใช้ไม่ผสมสารโอปิออยด์ส ก็มีโอกาสสูงที่จะปลอดพ้นจากภาวะเซ็กซ์เสื่อมเนื่องจากยาแก้ปวด
โดยทั่วไปผู้ชายกลัวโรคเซ็กซ์เสื่อมหรือหย่อนสมรรถทางเพศ เพราะนอกจากจะต้องทนทรมานกับความเจ็บปวด ยังทำให้เสียความมั่นใจ และเมื่อไม่นานนี้มีผลการวิจัยจากต่างประเทศออกมาว่า ยาแก้ปวดมีโอกาสทำให้นกเขาไม่ขันหรือเซ็กซ์เสื่อม
เว็บไซต์เดลี่ เมล ได้นำผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ Journal Spin มาเผยแพร่ โดยในเนื้อหาระบุว่า ผู้ชายที่รักษาอาการปวดหลังด้วยการรับประทานยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของสารโอปิออยด์ส (Opioids) ติดต่อกันตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป เสี่ยงต่อการเกิดโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานยาตัวนี้
โดยสารตัวนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับสารไฮโดรโคโดน ออกซิโคโดน และมอร์ฟีน เพราะมีผลโดยตรงกับระบบประสาท นิยมนำมาใช้เพื่อรักษาและบรรเทาอาการปวด ซึ่งผลการวิจัยกับผู้ป่วยกว่า 11,000 คน พบว่ากลุ่มผู้ใช้ยาส่วนใหญ่เป็นชายสูงวัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ดังนั้นจึงทำให้คนกลุ่มนี้เสี่ยงต่อการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
สาเหตุที่ทำให้ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยสุขภาพและวิทยาการโอเรกอน ออกมาเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เพราะต้องการเตือนให้ผู้จ่ายยาและผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วยการรับประทานยาชนิดนี้เพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น เนื่องจากผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเท่านั้น แต่อาจทำให้ผู้ป่วยเสพติดยาชนิดนี้ด้วย หากมีความจำเป็นต้องรักษาในระยะยาว
นอกจากนี้ผลการวิจัยยังระบุว่า อายุเป็นปัจจัยสำคัญและมีความเกี่ยวข้องด้วย เพราะคนที่ได้รับยาชนิดนี้จะอยู่ในช่วง 60-69 ปีเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ผู้ที่ใช้ยาระงับประสาท เช่น เบนโซไดอาเซปีนส์ ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้เช่นกัน
อย่างที่บอกว่ามีรายละเอียดอันเป็นปัจจัยหลัก นั่นคือตัวยาและอายุ ถ้ายังไม่แก่และยาแก้ปวดที่ใช้ไม่ผสมสารโอปิออยด์ส ก็มีโอกาสสูงที่จะปลอดพ้นจากภาวะเซ็กซ์เสื่อมเนื่องจากยาแก้ปวด